วิถีแห่งกลยุทธ์ /เหมยฉางซู เสถียร จันทิมาธร / ‘อดีต’ อันมากด้วย ‘เงื่อนปม’ (45)

เสถียร จันทิมาธร

วิถีแห่งกลยุทธ์ เหมยฉางซู/เสถียร จันทิมาธร

‘อดีต’ อันมากด้วย ‘เงื่อนปม’ (45)

“ไห่เยี่ยน” บรรยายตามสำนวนแปล “ลีหลินลี่” ออกมาว่า ก็เพราะมีคนที่ได้ตกนรกไปแล้วคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ ดังนั้น เขาจึงได้แต่กระเสือกกระสนบนกองทุกข์

ทนทรมานทั้งกาย-ใจ

สำหรับคนผู้นั้น ความรักระหว่างหนุ่ม-สาวบริสุทธิ์ดุจวารี แต่ไมตรีระหว่างพี่น้องไยมิใช่มีค่าดังเพชรนิลจินดาเช่นกัน

ต่อให้เป็นคนเสเพลรักอิสระ ไม่ยึดติดธรรมเนียมที่สุดในใต้หล้า สุดท้ายยังคงหนีไม่พ้นความยึดติดบางประการที่จะไม่ยอมกระทำเรื่องละอายต่อสหายอย่างเด็ดขาด

นับแต่โบราณกาลยังไม่มีผู้ใดสามารถหลีกพ้นคำว่า “รัก”

แม้ภายนอกแย้มยิ้ม ไม่นำพา ทว่าไม่อาจกลบเกลื่อนความเจ็บช้ำ ซ่อนลึกภายในใจ ก็เหมือนกับความขมขื่นเมื่อครั้งที่อยู่บนตึกหงส์เสด็จ ขณะจวิ้นจู่มองดูตนในฐานะประมุขพรรคบูรพานที คำพูดมากมายท่วมท้นขึ้นมาถึงริมฝีปาก

อยากถามแต่ถามไม่ได้ ต่อให้เป็นหน้ากากที่สงบนิ่ง เฉยเมยปานใดก็ไม่อาจปกปิดความรู้สึกที่ล้นทะลักกลางใจ

เรียกได้ว่าเหมยฉางซูอยู่ในสถานะน้ำท่วมปาก ประหนึ่ง “ไอ้ใบ้อมบอระเพ็ด” เผ็ดแสนเผ็ดก็มิอาจคายออกมา

 

ตอนที่เหมยฉางซูส่ง “คนผู้นั้น” ไปช่วยเหลือจวิ้นจู่ เขาไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ แต่ยามนี้เมื่อเผชิญหน้ากับหัวใจรักแท้ 2 ดวงที่ใสกระจ่างประดุจน้ำค้าง

เขาไหนเลยสามารถทำตัวคร่ำครึเป็นอุปสรรคขัดขวางระหว่างทั้ง 2 ได้

ชะตาชีวิตของ “หลินซูห์” ขัดเขินมากพอแล้ว แค่สัญญาหมั้นหมายที่ปราศจากความรักตั้งแต่ครั้งยังเด็กก็เหนี่ยวรั้งหนีหวงมานานปี เวลานี้ร่างกายยังเต็มไปด้วยโรคภัย มีชีวิตไปวันๆ ไม่รู้ว่าจุดจบจะมาถึงเมื่อไร

ไหนเลยจะมีเรี่ยวแรงไปถักทอความรักระหว่างหนุ่ม-สาว

ดังนั้น วันนี้ตระเตรียมน้ำชาต้อนรับแขก รอคอยการมาถึงของเซี่ยตงก็เพื่อจบสิ้นเรื่องราวในใจนี้

“ใต้เท้าเซี่ย” เมื่อเหมยฉางซูลืมตาขึ้นอีกครั้ง ในแววตาเหลือเพียงความสงบนิ่ง อ่อนโยน เหม่อมองเซี่ยตงอย่างนุ่มนวล สุ้มเสียงหนักแน่น เยือกเย็น

“ผู้แซ่ซูกับจวิ้นจู่มิได้คบหาลึกซึ้ง บางวาจาไม่เหมาะกล่าวต่อหน้า วันนี้ต้อนรับด้วยน้ำชาและเล่านิทานให้ใต้เท้าฟังก็เพราะอยากขอให้ใต้เท้าถ่ายทอดคำพูดพูดแทนผู้แซ่ซู”

 

คําพูดจากเหมยฉางซูก็คือ “แม้จวิ้นจู่ยังรวนเร ไม่กล้าสอบถามข้าเกี่ยวกับคนผู้นั้นโดยตรง แต่ข้าตระหนักดีว่าในใจนางคลางแคลงสิ่งใด

คนผู้นั้นอยู่ในพรรคบูรพานทีเป็นความจริง

ก่อนหน้านี้ข้าไม่เข้าใจความคิดของจวิ้นจู่นัก เกรงว่าจะเกิดความเข้าใจผิดจึงมิได้ซักไซ้อะไรจากเขามาก แต่หลังจากได้รู้จักจวิ้นจู่ เรื่องที่สมควรชัดเจนข้าก็มองเห็นอย่างกระจ่างแจ้ง

ด้วยเหตุนี้จึงอยากขอให้จวิ้นจู่วางใจ

น้ำใจของคนผู้นั้นมิได้เบาบางไปกว่าจวิ้นจู่แม้ครึ่งส่วน เพียงแต่ตอนนี้ภารกิจรัดตัวไม่อาจเข้าเมืองหลวง จวิ้นจู่หากเชื่อถือผู้แซ่ซู โปรดให้เวลาแก่เขาสักระยะ”

เซี่ยตงได้ฟังคำพูดนี้กลับมิได้มีปฏิกิริยาตอบกลับในทันที แต่ใช้ความคิดพิจารณาอยู่ครึ่งค่อนวันค่อยขมวดคิ้วกล่าวว่า

“บุรุษผู้กล้าสมควรรวบรัดตัดความ รักก็รัก ไม่รักก็ไม่รัก ในโลกนี้ยังมีภารกิจสำคัญอันใดถึงมานครจินหลิงสักคราไม่ได้”

เหมยฉางซูมิได้อธิบายเพิ่มเติม เพียงกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชาประโยคหนึ่ง

“คนในยุทธภพไม่เป็นตัวของตัวเอง ใต้เท้าเซี่ยโปรดอภัย”

เซี่ยตงแค่นเสียงเฮอะคำหนึ่ง แต่สุดท้ายยังคงกล่าวว่า “ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจวิ้นจู่ ซ้ำท่านยังบอกกล่าวด้วยใจจริง ข้าทำงานให้ท่านสักเที่ยวก็หาเป็นไรไม่ แต่ท่านช่วยบอกต่อเจ้าหนุ่มคนนั้นด้วย วันหน้าหากพบเจอคิดผ่านด่านเซี่ยตงคนนี้กลับมิใช่ง่ายดาย”

เหมยฉางซูยิ้มน้อยๆ “จวิ้นจู่มีสหายรักเช่นใต้เท้าเซี่ย นับว่าหาได้ยากยิ่ง”

สดับประโยคนี้แววตาเซี่ยตงพลันเย็นยะเยียบขึ้นมา พลางกล่าว “ตอนนี้นางยังไม่ใช่สหายของข้า รอนางออกเรือนแล้วข้าถึงยอมรับ ‘สหาย’ คนนี้”

“เช่นนั้นหรือ” เหมยฉางซูคล้ายไม่แยแสประโยคหนึ่งโพล่งกลับไปว่า

“เป็นเพราะสัญญาหมั้นหมายครั้งนั้นที่เป็นโมฆะไปนานแล้ว ใช่หรือไม่ จวิ้นจู่ไม่ออกเรือนกับผู้อื่น วันหนึ่งนางก็ยังคงเป็นคนของตระกูลหลินวันหนึ่ง สำหรับใต้เท้าเซี่ยแล้วคนตระกูลหลินคงเป็นศัตรูคู่แค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้ากระมัง”

สะท้อนให้เห็นว่ามี “เงื่อนงำ” มากหลายค้างคาอยู่แต่กาลอดีต

 

ประโยคนี้คล้ายกล่าวออกมาโดยไม่เจตนา แต่พอเข้าหูเซี่ยตงถึงกับทำให้นางแข็งค้างตลอดร่าง ขนตางอนงามสั่นไหวรุนแรง

นี่ย่อมสัมพันธ์กับ “อดีต”

เป็นอดีตอันเกี่ยวพันกับคนนับพันนับหมื่นและมีตระกูล “หลิน” เป็นตัวละครร่วมด้วย