จัตวา กลิ่นสุนทร : มัน (ไวรัส(Virus)โคโรนา,Covid -19) จะต้องผ่านเลยไปไม่ช้าก็เร็ว?

ต้องเขียนต้นฉบับล่วงหน้าตามระเบียบของนิตยสารรายสัปดาห์ ทำได้แต่เพียงภาวนาว่ากว่าหนังสือฉบับนี้จะเสร็จออกวางจำหน่าย อยากเห็นตลาดไวรัส (Virus) มันวายเสียที หลังจากที่แพร่ระบาดทำลายชีวิตผู้คน สร้างความพินาศวายวอดให้กับเศรษฐกิจไปจนทั่วโลกแล้ว

แต่เท่าที่ติดตามข่าวการติดเชื้อในทุกๆ วันในบ้านเรา มันกลับมีแต่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องวันละเกิน 100 คน ยังไม่นิ่งเสียที ทำท่าเหมือนกับว่ามันจะอยู่กับคนเราอีกนานเดือน

ครั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นประเทศมหาอำนาจใหญ่โตสักแค่ไหน ทั้งเรื่องความมั่นคง เศรษฐกิจ ต่างหนีไม่พ้นเชื้อไวรัสศัตรูที่มองไม่เห็นตัวนี้

ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจเล็กๆ โน้มเอียงไปทางยากจนเป็นประเทศกำลังพัฒนาจนถึงด้อยพัฒนาต่างๆ ต้องถูกศัตรูที่มองไม่เห็นทำลายชีวิตผู้คน ทำลายเศรษฐกิจจนย่อยยับไปเช่นเดียวกัน

งบประมาณบ้านเราที่วางไว้สำหรับบริหารประเทศ พัฒนาประเทศ ซึ่งมีขนาดจำกัดอยู่แล้วจำเป็นต้องโยกไปช่วยชีวิตประชาชนอย่างเร่งด่วนก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที

แปลว่าถ้าหากมันไม่เพียงพอมีความจำเป็นต้องหันไปออกกฎหมายขอกู้เขามาอีก

 

อะไรที่มันไม่จำเป็นต้องขอกราบเรียนท่านผู้นำทั้งหลายแหล่ให้หยุดพักไว้ก่อน ปรับปรุงการใช้งบประมาณเสียใหม่เอาเงินออกมาใช้ให้ตรงกับความจำเป็นเร่งด่วน ดังเช่นที่ท่านผู้แทนราษฎรฝ่ายค้านได้เสนอให้รัฐบาลตัดงบเกี่ยวกับการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ งบฯ สำหรับซื้อ เช่ารถประจำตำแหน่งใหม่ของข้าราชการ ข้าราชการการเมืองออกไปก่อน

งบประมาณสำหรับการก่อสร้างที่ยังไม่จำเป็นควรตัดลงมาได้ รวมทั้งงบประมาณสำหรับการเดินทางไปสัมมนาศึกษาดูงานต่างประเทศของรัฐสภา และ ฯลฯ ด้วยเช่นกันควรตัดออกไปเพื่อเอามาช่วยเหลือบุคลากรทางการแพทย์ เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับหมอ พยาบาลที่ต้องทำงานหนักในการช่วยเหลือผู้ป่วยจากการระบาดของไวรัสร้าย

ไม่ควรปล่อยให้คุณหมอออกมาประกาศขอรับบริจาคเองแม้กระทั่งหน้ากากอนามัย รัฐบาลต้องเป็นธุระดูแลให้ทั้งหมด

 

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย อดรนทนไม่ไหวเสนอแนะว่า นายกฯ ประยุทธ์ออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ศ.2548) มีอำนาจล้นฟ้า แล้วยังรออะไรอยู่ ปล่อยให้หมอไม่มีของใช้ อยากให้เอาเรื่องกลับเข้าไปพิจารณาในคณะรัฐมนตรีอีกครั้งเพื่อตัดอะไรที่ไม่จำเป็นเร่งด่วนออกไป เอาเงินมาช่วยเหลือประชาชน ไม่ใช่คิดแต่จะออกพระราชบัญญัติกู้เงินอย่างเดียว เพราะถึงอย่างไรจะต้องกู้แน่นอนหลังจากเรื่องโรคร้ายผ่านไปเพื่อนำมาฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ

ความจริงเรื่องนี้ควรจะเป็นที่เข้าใจกันเป็นอย่างดีสำหรับผู้แทนราษฎร ไม่ว่าท่านจะอยู่ซีกฝ่ายค้านหรือรัฐบาล อย่างเช่นท่าน (พี่) ชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา (อดีตนายกรัฐมนตรี-คนที่ 20) ท่านแสดงความคิดเห็นเท่ากับเป็นการส่งเสียงผ่านสื่อไปถึงรัฐบาลว่า

ควรใช้งบฯ กลางของรัฐบาลมาใช้จ่ายดูแลทุกๆ เรื่องในการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ซึ่งยามนี้เป็นนักรบเสี่ยงภัยอยู่แนวหน้า ในการทำสงครามปกป้องชีวิตมนุษย์อย่างหนัก โดยตัวท่านเองร่วมกับทีมงานรวบรวมเงินได้จำนวน 1 ล้านบาทไปบริจาคให้กับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ และโรงพยาบาลต่างๆ

ขณะนี้ท่านที่มีฐานะแข็งแรงด้านเศรษฐกิจกำลังช่วยกันคนละไม้ละมืออย่างน่าชื่นชมตามปกติของคนไทยที่เมื่อถึงคราวลำบากจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์ทางการแพทย์ เพื่อจะได้เร่งช่วยเหลือชีวิตคนไทยด้วยกัน

เพราะฉะนั้น ควรบันทึกชื่อท่านเหล่านี้ไว้ให้ปรากฏ

 

คุณสราวุธ อยู่วิทยา ได้เร่งดำเนินการกับท่านทั้งหลายที่เป็นแพทย์ เป็นผู้ที่รู้เรื่องในเครื่องมือด้วยการช่วยกันติดต่อทาบทามขอซื้อชุดตรวจ Covid-19 ชื่อ SARS-COV-2 Test ของ ROCHE จากสหรัฐได้ด้วยราคา 15 ล้านบาท (สิบห้าล้านบาท) เพื่อบริจาคให้กับโรงพยาบาลจุฬาฯ นำมาใช้ได้อย่างเร่งด่วน

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ประธานมูลนิธิพุ่มพันธุ์ม่วง และครอบครัว เพื่อนพ้อง เช่น อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา, ประสงค์ โฆษิตานนท์, อภิชัย สุสมาวัฒนะกุล และนางพรพรรณ เดชรุ่งชัยกุล ตัวแทน RS GROUP ร่วมกันบริจาคเครื่องมือแพทย์ เครื่องช่วยหายใจ และเครื่องวัดสัญญาณชีวิต ให้กับโรงพยาบาลตำรวจเพื่อใช้สำหรับช่วยเหลือผู้ป่วย Covid-19 รวมเป็นจำนวนเงิน 5,840,000 บาท (ห้าล้านแปดแสนสี่หมื่นบาท)

นายสิตมน รัตนาวะดี ผู้ช่วยฝ่ายกิจการเพื่อสังคม บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดิเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เป็นตัวแทนบริจาคให้โรงพยาบาลตำรวจ จำนวน 5 ล้านบาท (ห้าล้านบาท) เพื่อซื้อเครื่องมือสำหรับการช่วยชีวิตประชาชน

ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) บริจาคสมทบอีก 10 ล้านบาท (สิบล้านบาท) และตอนนี้หน่วยงานเอกชนต่างๆ ที่อยู่ในฐานะที่พอจะช่วยเหลือกันได้ยามทุกข์ยาก ต่างร่วมมือร่วมใจกันป่าวประกาศเพื่อขอรับบริจาคให้กับโรงพยาบาลทั้งสิ้น

 

บรรดาผู้แทนราษฎรหลายท่านก็เสนอรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ใช้งบฯ กลาง รวมกับงบประมาณที่ไม่ได้เร่งด่วน ซึ่งสามารถเลื่อนออกไปได้เช่นเดียวกัน แต่ ณ เวลานี้ยังไม่ได้ยินเสียงตอบรับ และท่าทีจากซีกรัฐบาลเลย

ซึ่งความจริงเมื่อเวลาต้องเผชิญกับวิกฤต ใครมีความคิดที่ดี มีทรัพย์สินเงินทองแม้ไม่มากหากแต่มีใจย่อมจะต้องหาทางช่วยกัน ซึ่งเท่าที่เห็นแม้แต่ผู้แทนฯ ตัวเล็กๆ จากพรรคก้าวไกลยังเสียสละเงินเดือนตัวเองเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ลำบาก

ในเวลาที่ประเทศชาติต้องเผชิญภัยพิบัติไม่ว่าจะเป็นผู้แทนราษฎรจากซีกฝ่ายค้าน หรือรัฐบาลย่อมต้องผนึกความคิดเป็นหนึ่งเดียวกัน

อันที่จริงควรต้องมีการเปิดสภาสมัยวิสามัญเพื่อช่วยกันแสดงความคิดเห็นหาแนวทางการต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็นอันเป็นโรคอุบัติใหม่ เพื่อรักษาชีวิตพี่น้องประชาชนเอาไว้ก่อน ก่อนที่จะรบราต่อสู้กันเรื่องการเมือง

ความจริงสมาชิกวุฒิสภาซึ่งดูเหมือนยืนเว้นระยะห่างกับประชาชนพอสมควรเรื่องที่มา แต่ท่านก็สามารถผนึกความคิดเห็น และหยิบยื่นความช่วยเหลือตามกำลังได้

สมาชิกควรสละเงินเดือนคนละ 1 เดือน เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ยากไร้ได้รับเคราะห์กรรม เพราะพวกท่านก็รับประทานเงินภาษีของพวกเขา เรียกว่าคืนกลับไปบ้าง

 

แต่ประชาชนทั่วไปกลับไม่ได้เห็นการรวมตัวกันอย่างสามัคคีเพื่อระดมความคิด ความรู้ความสามารถประสบการณ์หาลู่ทางวิธีการในการดำเนินนโยบายและแนวทางการปฏิบัติอันถูกตามหลักวิชาการเพื่อป้องกันการระบาดของไวรัส Covid-19 อย่างทันท่วงที

มีเพียงเสียงแว่วออกมาจากผู้แทนของพรรครัฐบาลว่า เกรงว่า– “พรรคฝ่ายค้านจะเปิดสภาเพื่อหลอกด่ารัฐบาลฟรี”

เมื่อถึงเวลาสถานการณ์ “โรคระบาด” ย่อมต้องคลี่คลาย ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้เวลาอยู่สร้างความเสียหายกับชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนของประเทศนี้อีกนานแค่ไหนเท่านั้น

เมื่อเปิดสมัยประชุมสภา อยากขอให้ผู้แทนราษฎรทั้งหลายช่วยสอบถามรัฐบาลเรื่องรายละเอียดต่างๆ ในการดำเนินงานครั้งนี้ด้วย

เพราะประชาชนเจ้าของประเทศจะได้รับรู้รับทราบ

อย่างน้อยที่สุดเขาควรจะรู้ว่ารัฐบาลเอาเงินภาษีของพวกเขาไปใช้จ่ายอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะกับการเยียวยาเพื่อนร่วมชาติ 9 ล้านชีวิตที่พบกับวิกฤตในชีวิตเรื่องการงาน

ผู้แทนใหม่สังกัดพรรครัฐบาลชุดนี้ หรือแม้แต่ผู้แทนเก่าซึ่งสมัยปี พ.ศ.2544-2549 ยังเป็นละอ่อน เป็นผู้แทนแถว 2-3-4 คงลืมไปแล้วว่าคนที่เป็นรัฐมนตรีของรัฐบาลสมัยนั้น ท่านมีประสบการณ์ในการทำงานแก้ปัญหาการระบาดของไข้หวัดนก (Avian Ifluenza หรือ Bird Flu) สายพันธุ์ H5N1 และโรคซาร์ส (Severe Respiratory-SARS) มาแล้วอย่างน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน

ถ้ารัฐบาลเปิดระดมความคิดเพื่อหาแนวทาง และวิธีการที่ดีอย่างจริงใจ โดยพักเรื่องการเมืองไว้ก่อน ไม่คิดว่าเป็นฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ถือเสียว่าเป็นการระดมสติปัญญา และเรียนรู้แสวงหาประสบการณ์มาช่วยกันทำงานเพื่อรักษาช่วยชีวิตประชาชน ไม่ใช่เงอะๆ งะๆ สับสนอยู่ตั้งนานแสนนานกว่าจะลงมือ

บางทีอะไรๆ มันอาจจะดีกว่าที่เห็นและเป็นอยู่