ภาพยนตร์ / นพมาส แววหงส์ / PARASITE ‘ปรสิต…อีกรอบ’

นพมาส แววหงส์

ภาพยนตร์/นพมาส แววหงส์

PARASITE

‘ปรสิต…อีกรอบ’

กำกับการแสดง Joon-ho Bong

นำแสดง Kang-he Song Sun-kyun Lee Yeo-jeong Jo Woo-sik Choi Hye-jin Jang So-dam Park

 

เขียนถึง Parasite ไปเมื่อหลายเดือนก่อน หลังจากชนะเลิศรางวัลปาล์มดอร์ในเทศกาลภาพยนตร์ที่เมืองคานส์ และเป็นหนังเกาหลีเรื่องแรกที่ได้รับรางวัลดังกล่าว

สัปดาห์ที่ผ่านมา หนังเรื่องนี้โด่งดังเป็นพลุแตกยิ่งขึ้นไปอีก โดยชนะรางวัลใหญ่ของออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ผู้กำกับยอดเยี่ยม บทดั้งเดิมยอดเยี่ยม และภาพยนตร์ต่างประเทศยอดเยี่ยม และเป็นหนังภาษาต่างประเทศเรื่องแรกที่ได้ออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม

แถมขณะนี้นอกจากมีฉายในโรงทั่วไปแล้ว หนังเรื่องนี้ยังมีเวอร์ชั่นขาว-ดำที่เข้าฉายในโรงหนังเฮาส์สามย่าน ซึ่งเป็นเวทีสำหรับหนังอินดี้หนังอาร์ตทั้งหลาย เวอร์ชั่นนี้ผู้กำกับฯ บงจุนโฮโฆษณาว่าดีกว่าเวอร์ชั่นสีที่ออกฉายทั่วไปเสียอีก

ชวนกันไปดูได้เลยนะคะ ไม่ใช่หนังอาร์ตที่ต้องปีนกระไดดูแต่อย่างใดเลย

แต่เป็นคอเมดี้-ทริลเลอร์-ดราม่าที่เข้มข้นระทึกใจและชวนขัน จัดอยู่ในประเภทตลกร้ายที่มีประเด็นแหลมคม สะท้อนภาพสังคมของความเหลื่อมล้ำและช่องว่างระหว่างชนชั้นในสังคมอย่างเสียดแทงใจ

 

หนังเริ่มในครอบครัวสกุล “คิม” ที่ประกอบด้วยพ่อ-แม่ ลูกชาย ลูกสาวที่ประสบปัญหาทางเศรษฐกิจอย่างแรง อุดอู้อยู่ในห้องเช่าที่อยู่ใต้ดิน มีหน้าต่างติดเพดานเสมอพื้นถนน

เช่นเดียวกับชาวเมืองสมัยใหม่ทั่วไป การสื่อสารออนไลน์ด้วยมือถือกินเวลาแทบทุกวินาทีในชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้น คิมคีวู ซึ่งมีชื่อฝรั่งว่า เควิน (วูซิกชอย) และคิมคิจุง ซึ่งมีชื่อเก๋ไก๋ว่า เจสซิกา (โซดัม ปาร์ก) จึงเอาแต่สาละวนวุ่นวายอยู่กับการหาสัญญาณไวไฟของเพื่อนบ้านใช้ เพราะตัวเองไม่มีปัญญาจ่ายค่าไวไฟ

เป็นการเปิดเรื่องให้เห็นสภาพบ้านช่องและมุมต่างๆ ของห้องใต้ดิน แม้แต่โถส้วมที่ตั้งอยู่ยกพื้นสูงแทบจะติดเพดานห้อง

ภาพอพาร์ตเมนต์ใต้ดินนี้จะกลายเป็นประเด็นสำคัญต่อมาในการพัฒนาเรื่อง

 

ครอบครัวนี้ตกงานอยู่ทุกคน ลูกชายลูกสาวก็ไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ รายได้น้อยนิดมาจากการพับกล่องส่งให้ร้านพิซซ่า ซึ่งก็นับว่าไม่ใช่แรงงานฝีมือ เพราะกล่องโดน “รีเจกต์” จำนวนมาก

จวบจนวันหนึ่งสหายสนิทของเควินแวะมาเยี่ยม พร้อมด้วยการนำหินขรุขระก้อนใหญ่รูปร่างไม่ผิดอะไรกับก้อนหินที่เก็บมาจากข้างทาง ซึ่งเขาเอามาเป็นของฝาก พูดให้เก๋ว่าเป็นหินภูมิทัศน์ (landscape stone) แต่เรียกแบบชาวบ้านก็คือ หินตกแต่งสวนนั่นแหละ เชื่อว่าเป็นหินนำโชค

อดนึกไปถึงหินนักปราชญ์ หรือ philosopher’s stone แบบในหนังแฮร์รี่ พอตเตอร์ ไม่ได้ ซึ่งจะแปลว่า “จินดามณี” หรือแก้วสารพัดนึกก็ไม่น่าจะผิด

คุณค่าและความหมายทั้งหลายทั้งปวงย่อมอยู่ที่ผู้ครอบครองที่จะมองเห็นและสรรค์สร้างแก่วัตถุสิ่งของเพื่อนำไปใช้ในทางใดก็ตาม

นอกจากของขวัญชิ้นนี้แล้ว เพื่อนของเควินก็ยังหางานให้เขาทำ โดยบอกว่าเขาจะเดินทางไปต่างประเทศ แต่อยากให้เควินไปติวภาษาอังกฤษให้ลูกสาวเศรษฐีที่เขาหมายตาอยู่ และไม่ไว้ใจใครอื่นนอกจากเควิน ผู้ที่เขาขอให้ดูแลสาวน้อยให้จนกว่าเขาจะกลับมา

ปัญหาแรกคือ การทำให้พ่อ-แม่ของเด็กสาวยอมรับเควิน ซึ่งไม่มีวุฒิใดๆ เลย

เจสซิกา น้องสาวเควิน จัดการแก้ปัญหานี้ให้ ด้วยความจัดเจนในงานศิลปะและการใช้คอมพิวเตอร์ เควินมีใบรับรองการศึกษาจากสถาบันที่มีชื่อเสียงในรูปแบบสวยงามพร้อมนำเสนอในการสมัครงานโดยพูดให้ตัวเองและคนอื่นๆ เชื่อว่านี่ไม่ใช่การหลอกลวง เพราะอีกหน่อยเขาก็จะเข้าเรียนจนจบจากมหาวิทยาลัยนี้จริงๆ

ใบปริญญานี้เพียงแต่ออกให้เขาก่อนล่วงหน้าเท่านั้น

 

จากโลกของความยากจนที่ตะเกียกตะกายหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ เควินพาเราก้าวเข้าสู่โลกของครอบครัวมหาเศรษฐีที่ประกอบด้วยพ่อ-แม่ ลูกสาว ลูกชายเหมือนกัน

เป็นครอบครัวที่สามารถสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตมากินมาใช้ได้โดยไม่ต้องวิตกกังวลเรื่องเศรษฐกิจ แต่ครอบครัวนี้ก็มีปัญหาแบบอื่นแทน

พ่อเป็นซีอีโอของบริษัทไอที ที่ยังหนุ่มแน่น ฉลาดเฉลียว และรวยไม่รู้เรื่อง

แม่เป็นภรรยาสาวสวยที่ทำอะไรไม่เป็นเลย ไม่ว่าการครัวหรือการดูแลบ้านช่อง

แต่เป็นคนรวยเสียอย่าง เงินจึงเสกได้ทุกอย่าง เธอมีเงินทองจับจ่ายสบายมือ และจ้างแม่บ้านผู้สามารถทำงานให้ และเป็นคนที่ “ถึงจะรวยก็นิสัยดี” ซึ่งประโยคนี้ได้รับการแก้ใหม่ว่า “เพราะรวยน่ะสิถึงนิสัยดี…เงินเป็นเตารีดที่จะรีดรอยยับทั้งหลายให้เรียบร้อยสวยงาม”

เควินพาตัวเองเข้าสู่การยอมรับของบ้านนี้โดยไม่ยาก แถมยังแนะนำเจสซิกาให้เข้าไปสอนศิลปะให้แก่ลูกชายคนเล็กของบ้านซึ่งดูจะเป็นเด็กมีปัญหาทางจิตที่แสดงออกด้วยภาพอันน่ากลัวที่ติดอยู่ในจิตใต้สำนึก

เนื่องจากครอบครัวปาร์กเป็นคนที่หลอกให้เชื่อง่ายอย่างเหลือเชื่อ ครอบครัวคิมจึงแทรกซึมเข้าไปเป็น “ปรสิต” ดูดเลือดและเกาะกินได้อย่างไม่ยาก

ในที่สุด ลูกชายและลูกสาวตระกูลคิมก็ได้เป็นครูภาษาอังกฤษและครูศิลปะเชิงจิตวิทยาให้แก่ลูกสาวและลูกชายตระกูลปาร์ก

ส่วนพ่อ (กังโฮซอง) ก็เข้ามาเป็นคนขับรถคนใหม่แทนที่คนเก่าที่ถูกกำจัดออกไปอย่างแยบยล และแม่ (ไฮจินจัง) ก็เข้ามาเป็นแม่บ้านคนใหม่แทนที่คนเก่าที่ถูกกำจัดออกไปด้วยแผนซับซ้อนแยบยลยิ่งกว่าเดิมอีก

ทั้งสี่ฉลองความสำเร็จด้วยการเข้าครอบครองบ้านทั้งหลังในคืนที่ครอบครัวเจ้าของบ้านออกไปตั้งแคมป์นอนในป่า

 

หลังจากการเสพสำราญแบบ “ปรสิต” ที่คอยเกาะกินอาศัยผู้อื่น เค้าเงื่อนของความยุ่งยากก็เริ่มอุบัติขึ้นในรูปของการกลับมาแบบเซอร์ไพรส์ของแม่บ้านคนก่อนที่ถูกขจัดออกไป มากดกระดิ่งเรียกหน้าบ้าน เพื่อขอเข้ามาเอา “ของ” ที่ลืมทิ้งไว้เมื่อต้องโดนอัปเปหิไปอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความสนุกและความซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่จะพัฒนาเรื่องต่อไปในแบบของทริลเลอร์ที่ลงเอยอย่างโชกเลือด และมีประเด็นแหลมคม

นอกจากการเล่าเรื่องอย่างสนุกชวนระทึกแล้ว จุดเด่นของหนังยังอยู่ที่องค์ประกอบต่างๆ ที่วางไว้ในเรื่อง

ไม่ว่าจะเป็นคฤหาสน์แบบโพสต์โมเดิร์นที่สถาปนิกชื่อดังสร้างไว้เพื่ออยู่อาศัยเอง ก่อนจะขายให้แก่ครอบครัวปาร์ก ซึ่งอพยพเข้ามาอยู่แทน โดยไม่ระแคะระคายถึงความลับที่ซุกซ่อนอยู่ในห้องใต้ดินของคฤหาสน์

ในมหานครอันแออัดคลาคล่ำไปด้วยบ้านเรือนและผู้คน คฤหาสน์นี้มีสนามหญ้าลอยฟ้าเขียวขจีสวยงามภายใต้ท้องฟ้ากว้าง ตัดกับความยากจนข้นแค้นของชนชั้นล่างที่ต้องผจญกับปัญหาเศรษฐกิจและภัยธรรมชาติ

วันหนึ่งเกิดภัยพิบัติ ฝนตกหนักจนน้ำท่วมห้องใต้ดินและทำให้ผู้คนไร้ที่อยู่อาศัย ต้องไปตั้งแคมป์นอนในโรงยิม ขณะที่เศรษฐีก็ไปตั้งแคมป์นอนกลางดินกินกลางทรายเหมือนกัน แต่ก็โดนฝนกระหน่ำจนต้องเก็บแคมป์กลับบ้าน

บทสนทนาที่เหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญ ก็กลายเป็นมีความสำคัญขึ้นมา

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ “กลิ่น” ที่ติดตัวมากับคนทำงานหาเช้ากินค่ำ ซึ่งมาจากกลิ่นอับของห้องใต้ดินที่ติดเสื้อผ้ามา กลิ่นของชนชั้นกรรมาชีพที่โดยสารรถใต้ดิน ดังที่ซีอีโอของบริษัทไอทีปรารภว่า

“คนที่ใช้รถใต้ดินจะมีกลิ่นเฉพาะตัวแบบหนึ่ง”

เป็นการดูแคลนแบ่งแยกทางชนชั้น แม้จะไม่ได้แสดงความชิงชังรังเกียจอย่างออกนอกหน้า แต่ก็อดปรากฏออกมาไม่ได้ในสีหน้าท่าทางเล็กๆ น้อยๆ

และนี่เองก็คือชนวนที่นำไปสู่ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

หนังมีตอนจบที่ชวนคิด โดยไม่ได้ขมวดเรื่องให้ชัดเจนว่าคนผิดต้องถูกลงโทษด้วยกฎเกณฑ์ทางศีลธรรมและขื่อแปของบ้านเมือง

แต่การลงเอยตามที่เป็นอยู่ในหนังนั้นก็เป็นการลงโทษเหมือนการจองจำตลอดชีวิตโดยที่ลูกได้แต่เพ้อฝันเป็นตุเป็นตะไปว่าจะสามารถกอบกู้สถานการณ์ได้…คนที่อับจนหนทางย่อมมีแต่เพียงความเพ้อฝันเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงไปวันๆ

สนุกมากค่ะ และไม่ใช่แค่ความสนุกชั่วขณะ แต่เป็นการสะท้อนภาพสังคมอย่างแหลมคมและชวนคิดค่ะ

หนังดีขนาดนี้อย่าพลาดนะคะ