ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 24 - 30 มีนาคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | เสฐียรพงษ์ วรรณปก |
เผยแพร่ |
พระพุทธศาสนานั้นมีข้อเด่นอยู่อย่างหนึ่งในหลายร้อยหลายพันอย่าง คือให้โอกาสแก่มนุษย์ว่ามีศักยภาพที่จะพัฒนาตนเองได้ ถือว่ามนุษย์ทุกคนมีความเป็น “คน” ทัดเทียมกัน แล้วก็ให้กำลังใจให้พยายามพัฒนาตนไปสู่เป้าหมายสูงสุด ด้วยวิริยะ อุตสาหะ และให้ความทัดเทียมกันระหว่างบุรุษและสตรี บุรุษบรรลุมรรคผลได้ สตรีก็บรรลุได้ บุรุษมีโอกาสได้บวชเรียน สตรีก็มีโอกาสนั้นเหมือนกัน
นอกจากนี้ พระพุทธศาสนาชี้คุณค่าของคนที่รู้จักใช้ปัญญาในการดำเนินชีวิต ใครมีปัญญา ไม่ว่าจะเป็นคนเกิดในวรรณะไหนก็ได้รับการยอมรับ
ที่พูดมาหลายบรรทัดนี้ก็เพื่อเข้าหาเรื่องของสาวใช้คนหนึ่ง แถมยังพิการคือ ร่างค่อมด้วย ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้คงแก่เรียน
สาวใช้พิการคนนี้คือ นางขุชชุตตรา ครับ
นางเป็นคนใช้ของนางสามาวดี มเหสีของพระเจ้าอุเทน กษัตริย์ผู้ครองเมืองโกสัมพี นางสามาวดีเป็นสาวิกาของพระพุทธเจ้า ทุกวันมอบเงินให้นางขุชชุตตราไปซื้อดอกไม้มาจากนายมาลากร 8 กหาปณะเพื่อบูชาพระพุทธเจ้า (เรื่องราวของนางสามาวดี จะนำมาเล่าภายหลัง)
ขุชชุตตรา ขยักไว้ 4 กหาปณะเพื่อตัวเอง เรียกง่ายๆ ว่า “ยักยอก” เจ้านายนั่นแหละ อีก 4 กหาปณะก็ซื้อดอกไม้ไปให้นายหญิง
วันหนึ่งนายมาลาการนิมนต์พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์ไปเสวยภัตตาหารที่บ้านของตนพูดกับนางขุชชุตตราผู้มาซื้อดอกไม้ว่า
“หนู วันนี้ฉันอาราธนาพระพุทธเจ้ามาเสวยภัตตาหารที่บ้าน หนูช่วยเลี้ยงพระก่อนแล้วค่อยเอาดอกไม้ไปให้นายหญิงของหนูได้ไหม”
“ได้จ้ะ” ขุชชุตตราตอบ แล้วก็อยู่ช่วยงานจนแล้วเสร็จ เมื่อพระพุทธองค์เสวยเสร็จแล้ว ก็ทรงอนุโมทนา ทรงแสดงธรรมแก่นายมาลาการและครอบครัว นางขุชชุตตราทีแรกจะรีบกลับ แต่ใจหนึ่งคิดว่าไหนๆ ก็รอมาแล้ว ลองฟังธรรมก่อนค่อยกลับดีกว่า จึงตั้งใจฟังธรรมจนจบ พอจบพระธรรมเทศนา นางก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล
นางขุชชุตตราซื้อดอกไม้ 8 กหาปณะ ได้ดอกไม้กำใหญ่กว่าทุกวัน ไปให้นายหญิงนางสามาวดี นายหญิงของขุชชุตตราเห็นดอกไม้มากกว่าทุกวันจึงถามว่า
“วันนี้พระเจ้าอยู่หัวพระราชทานเงินค่าดอกไม้แก่ฉันเพิ่มขึ้นหรือ”
“หามิได้ พระแม่เจ้า” นางตอบ
“เพราะเหตุใดดอกไม้จึงมากกว่าทุกวันเล่า”
นางขุชชุตตรา ก็เปิดเผยความจริงว่า “วันก่อนๆ นางยักยอกเอาไว้ใช้ส่วนตัว 4 กหาปณะซื้อดอกไม้เพียง 4 กหาปณะเท่านั้น”
“แล้ววันนี้ทำไมเธอไม่เอาไว้เพื่อตัวเอง 4 กหาปณะเล่า” นายหญิงถาม
“เพราะหม่อมฉันฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วได้บรรลุธรรม”
นางสามาวดีไม่โกรธสาวใช้เลย ที่ยักยอกเอาเงินค่าซื้อดอกไม้กลับกล่าวด้วยความยินดีว่า
“โอ ดีจังเลย เจ้าช่วยแสดงธรรมที่เธอได้ฟังมาจากพระพุทธเจ้าให้เราฟังได้ไหม” เมื่อขุชชุตตรารับปาก นางสามาวดีจึงให้นางอาบน้ำชำระกายให้สะอาดพรมด้วยน้ำหอมให้นางนุ่งผ้าสาฎกใหม่เอี่ยมเนื้อดีผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง ปูลาดอาสนะและวางพัดอันวิจิตรไว้ข้างอาสนะเชิญนางขุชชุตตราขึ้นนั่งบนอาสนะ
นางขุชชุตตราได้แสดงธรรมตามที่ได้ยิน ได้ฟังมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า แก่สตรีจำนวน 500 คน มีนางสามาวดีเป็นประธาน นางเป็นคนมีความจำแม่น และมีความสามารถในการใช้คำสละสลวยธรรมเทศนาของนางเป็นที่จับจิตจับใจคนฟังมาก
ว่ากันว่าได้บรรลุธรรมไปตามๆ กัน
นางสามาวดีบอกว่า ต่อแต่นี้ไป เธอไม่ต้องทำงานเป็นคนใช้ ขอให้เธอดำรงอยู่ในฐานะมารดาและอาจารย์ในทางธรรมของพวกเรา ทุกวันขอให้เธอฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วกลับมาแสดงให้พวกเราฟัง
นางขุชชุตตราจึงได้ “เลื่อนขั้น” ขึ้นมาเป็นอาจารย์แสดงธรรมแก่นายหญิง ตั้งแต่วันนั้นมาท่านอาจารย์ขุชชุตตราก็ทำหน้าที่ของตนไม่ขาดตกบกพร่อง นับว่าได้ทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเอง และบรรดาสตรีในวังด้วย
ในทางส่วนตัวก็คือ นางได้ฟังหลากเรื่องหลายปริยาย ทำให้มีความรู้ความเข้าใจในธรรมกว้างขวางพิสดารขึ้น ชนิดที่ไม่สามารถหาเอาจากที่ไหน
ในไม่ช้าไม่นานนางก็กลายเป็น “พหูสูต” (ผู้คงแก่เรียน) เมื่อมีความรู้แตกฉาน นางก็มีลีลาในการแสดงธรรมได้อย่างวิจิตรพิสดารและจับจิตใจยิ่งขึ้น
ความทราบถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสยกย่องนางใน “เอตทัคคะ” (ความเป็นเลิศกว่าผู้อื่น) ในทางสดับตรับฟังมาก คือเก่งกว่าคนอื่นในทางเป็นพหูสูตรหรือผู้คงแก่เรียน
การที่หญิงค่อมขี้ริ้วจนๆ คนหนึ่งได้รับเกียรติเห็นปานนี้ ก็เพราะพระพุทธศาสนาเปิดทางให้พระพุทธศาสนามิได้มองแค่เปลือกนอกของคน หากมองที่ศักยภาพภายในมากกว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่าในหมู่มนุษย์ไม่ว่ายากดีมีจน คนมีปัญญาเป็นผู้ประเสริฐสุด
พระสงฆ์ทั้งหลายกราบทูลถามพระพุทธเจ้าในวันหนึ่งว่า เพราะเหตุใดนางขุชชุตตรา จึงมีร่างกายค่อม และเพราะเหตุใดจึงเป็นสาวใช้ของคนอื่น
พระพุทธเจ้าตรัสบุพกรรมของนางให้ภิกษุสงฆ์ฟัง (น่าสนใจมากครับ) ดังนี้
1. ชาติก่อนนางเคยเป็นอุปัฏฐายิกาของพระปัจเจกพุทธ พระปัจเจกพุทธรูปนั้นร่างค่อม นางนึกสนุกทำร่างค่อมเลียนแบบพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะกรรมนั้นนางจึงมีร่างค่อมในปัจจุบันนี้
2. ชาติก่อนนางถวายข้าวปายาสร้อน ในบาตรพระปัจเจกพุทธ พระปัจเจกพุทธอุ้มบาตรร้อนจึงเปลี่ยนมืออยู่เรื่อย นางจึงถวายวลัยงา 8 อัน (เรียกอันหรือเปล่าไม่รู้สิครับ) เพื่อให้ท่านรองบาตรเพื่อผลแห่งการถวายวลัยงารองบาตรนั้น มาชาตินี้นางจึงเป็นพหูสูต
3. และเพราะการอุปัฏฐากดูแลพระปัจเจกพุทธ นางจึงบรรลุโสดาปัตติผล
4. ในชาติก่อนอีกชาตินึง นางเกิดเป็นธิดาเศรษฐี วันหนึ่งขณะนางแต่งตัวอยู่ พระเถรีอรหันต์รูปหนึ่งมาเยี่ยมนางที่บ้าน เวลานั้นนางมองหาคนใช้ไม่พบ จึงกล่าวกับพระเถรีอรหันต์ว่าพระแม่เจ้า ดิฉันไหว้ละ ช่วยหยิบกระเช้าเครื่องประดับให้ดิฉันหน่อย พระเถรีอรหันต์คิดว่า ถ้าไม่หยิบให้ นางจักเกิดเป็นคนใช้คนอื่น แต่การเป็นคนใช้เขายังดีกว่า ว่าแล้วพระเถรีอรหันต์จึงหยิบกระเช้าให้นาง มาชาตินี้นางจึงเป็นคนใช้เขา
การทำบาป โดยเฉพาะต่อบุคคลผู้บริสุทธิ์ แม้เพียงเล็กน้อยก็บันดาลผลหนัก ดังเรื่องของนางขุชชุตตราในชาติก่อน เพราะฉะนั้น เราพึงระวังมิให้เผลอทำในสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร นี่คือข้อสรุปที่ได้ยินจากเรื่องนี้ขอรับ