ธรรมกาย ต้นธาตุต้นธรรม? โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

พูดกันมากว่า ธรรมกายของหลวงพ่อสดนั้น แรกๆ ท่านเองก็นึกว่าเป็นของแท้ แต่พอปฏิบัติไปๆ ก็ “ติดตัน” ไม่ก้าวหน้า ท่านจึงไปปรึกษาพระวิปัสสนาจารย์ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น เป็นใครก็ทราบกันอยู่ แต่ยุทธจักรไม่บอกกัน รู้กันภายใน

หลังจากท่านได้ช่วยสอบอารมณ์ ช่วยแก้ไขให้สักระยะหนึ่ง หลวงพ่อสดก็ “ผ่าทางตัน” นี้ไปได้ และได้เขียนทำนองประกาศความจริงข้อนี้ไว้ให้อาจารย์วิปัสสนารูปนั้น ใต้รูปถ่ายของท่านที่มอบถวายไว้ด้วย

เมื่อถูกถามว่า เมื่อรู้ว่าธรรมกายของท่านนั้นไม่ใช่ของแท้ แล้วทำไมจึงไม่บอกให้ศิษย์ทั้งหลายทราบ หลวงพ่อก็ตอบว่าคนเขาเชื่อกันมากแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไรได้

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ธรรมกายนั้นเป็นวัสดุชำรุด ที่เจ้าของท่านทิ้งแล้ว เพราะเจ้าของท่านได้อาศัยแนวทางแห่งวิปัสสนาก้าวไปถึงไหนๆ แล้ว

แต่ลูกศิษย์หลานศิษย์ก็ยัง “กอด” มรดกอันชำรุดนั้นไว้อย่างเหนียวแน่น เพียงแค่กอดไว้ตามเดิมก็พอทำเนา หลานศิษย์เหลนศิษย์บางคนเอามาเป็นเครื่องมือขายกิน สร้างความร่ำรวยให้แก่ตนจนน่าตกใจ นี่สิครับน่าตำหนิ

โดยได้สร้างแนวคิดใหม่ๆ ออกมา จนถ้าหลวงพ่อสดยังมีชีวิตอยู่ถึงบัดนี้ ท่านคงถามหายาแก้ปวดศีรษะมาฉันแล้วครับ

เอาการเห็นนิมิตคือพระพุทธรูปนั้นว่าเป็นจุดขาย เมื่อนำให้ผู้ปฏิบัติภาวนาสัมมาอรหังๆ จนกระทั่งเกิดนิมิตเห็นพระพุทธรูปแล้ว ก็บอกว่า “คุณได้บรรลุธรรมขั้นสูงแล้ว” คนที่ไม่เคยได้ พอได้เข้า ก็เกิดศรัทธาอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู เท่าไหร่เท่ากันมีหมื่นถวายหมื่น มีแสนถวายแสน เพราะเชื่อมั่นว่าตนได้บรรลุธรรมแล้ว

จากจุดนี้เอง ก็มาคิดต่อตามประสาผู้สำเร็จการศึกษาทางด้านการตลาดว่า บุญเป็นสินค้าที่ขายได้ และขายได้ง่ายด้วย

โครงการขายบุญหลากหลายรูปแบบจึงเกิดขึ้น เมกมันนี่กันอย่างสะบึม พระภิกษุผู้ที่พระวินัยกำหนดว่าให้มีชีวิตอยู่ง่ายๆ ก็กลายเป็นพระอาเสี่ย อยู่ยากกินยาก คือกินอาหารธรรมดาไม่เป็น ต้องสั่งจากเหลาอย่างดีมากิน จีวรก็สั่งผ้าอย่างดีจากต่างประเทศ เอาชนิดที่ห่มแล้วสะท้อนแสง ผิวยังไม่ผ่องเท่าที่ควรก็ไปอบผิวด้วยสมุนไพรให้คนเข้าใจว่าเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์รัศมีผุดผ่องดังทองทา

แค่นั้นยังไม่พอยังบอกสานุศิษย์ว่าตนเป็น”ต้นธาตุต้นธรรม”ความหมายก็คือพยายามสร้างภาพให้ตัวเองขลังศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเรื่อยๆเริ่มแต่ให้พบยาก จะพบได้เฉพาะผู้ที่มีบารมีสูง และผู้ที่ “หลวงพ่อ” เลือกแล้ว นานๆ เข้าก็ถึงกับให้เข้าใจเป็นนัยๆ ว่า “หลวงพ่อ” ของพวกเขาเป็น “ที่มา” ของผู้ตรัสรู้ทั้งปวง หรือใหญ่กว่า “พุทธะ” ทั้งปวง

หลวงพ่อสดหรือ ยังน้อยไป พระพุทธเจ้าทั้งปวงก็เล็กกว่า “หลวงพ่อ” ของพวกเขา ไม่น่าเชื่อและไม่คิดว่าจะอาจเอื้อมถึงขั้นนี้ แต่ยืนยันว่ามีการพูดกันอย่างนี้ และเชื่อกันอย่างนี้จริง ก็ร้องได้คำเดียวว่า อุบาทว์แท้

อีกเรื่องหนึ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ คือไม่น่าจะมีคนเชื่อก็กลับมีคนเชื่อถือกันทั่วไป คือ การบอกว่า บางคนที่บารมีถึงแล้ว ที่ “หลวงพ่อเลือกแล้ว” ไม่จำต้องฝึกสมาธิภาวนาให้เมื่อย เพียงหลวงพ่อพาขึ้นไปบนดอยทำพิธี “อัด” ธรรมกายให้ก็ได้บรรลุธรรมแล้ว

จะมีผู้หลงเชื่อจำนวนปีละไม่น้อยที่ตามขึ้นไปให้หลวงพ่อเธออัดให้ หลายท่านถามด้วยความสงสัยว่าอัดอะไรกันแน่หนอ จึงง่ายปานนั้น

พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า คนเราจะได้อะไรหรือไม่ได้อะไร ต้องทำเอาเอง ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของจำเพาะตน คนอื่นทำคนอื่นให้บริสุทธิ์ไม่ได้

ก็เพิ่งมาได้ยินที่สำนักนี้แหละ มรรคผลนิพพานหยิบยื่นให้กันได้ ไม่ต้องสร้าง ไม่ต้องทำเอง อัญเชิญท่านผู้เป็นต้นธาตุต้นธรรมมาอัดให้ เดี๋ยวเดียวก็ได้เป็นพระโสดา สกทาคา อนาคา และอรหันต์แล้ว

ง่ายอะไรปานนั้น

แค่การบรรลุธรรมคือการทำตนให้เป็นพระพุทธรูป หน้าตักกว้างเท่านั้นเท่านี้ ผมก็ว่าวิปริตผิดเพี้ยนแล้ว อย่างหลังนี้ยิ่งเพี้ยนยิ่งกว่าอีก

อันนี้คือคำสอนของลัทธิใดครับ

อย่ามาอ้างนะว่าเป็นคำสอนของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนอย่างนี้แน่นอน