การะเกต์ ศรีปริญญาศิลป์ : ทวีปที่สาบสูญ รู้ตัวอีกครั้ง ก็เมื่อเห็น

มีลมพัดมาสู่ดวงตาของฉัน

พร้อมหอบซัดสาดเม็ดทรายเหล่านั้น

พร่างพรู

มีรูโหว่ในดวงใจฉันหรือไฉน

จึงฉีกขาดวิ่นไปเสียทุกช่องประตู

ทุกข์ทรมานที่สุดก็คือการมีชีวิตอยู่?

เพื่อบีบคั้นดวงตาให้มองดูสิ่งโสมม

 

“อะไรกันพี่”

อัมพรแสดงท่าทีปัดป้อง แต่ก็กลั้วเสียงหัวเราะหัวใคร่ ฉันตั้งใจจะเบือนหน้าหนี แต่ที่ทำด้วยสัญชาตญาณคือการจ้องมองดู

แค่ดู…ดูการแสดงของหล่อน

“อีพี่ มึงเคยคิดมั้ย ชีวิตมึงกับกูจะเป็นยังไงต่อไป”

“…ไม่รู้เหมือนกันอัมพร ฉันไม่รู้”

“อ้าว ทำไมไม่รู้แล้วล่ะ เมื่อก่อนมึงเป็นพวกมีความฝันมากมายไม่ใช่รึ”

อัมพรลากเสียงยาวอย่างจงใจ

“ไหนมึงว่า มึงจะต้องมีชีวิตดีขึ้นให้จงได้”

“ฉันเคยพูดตอนไหนหรือ?”

“มึงไม่ได้พูด มึงเขียนไว้”

“อ้าว” ฉันมองใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่คืบ “ตกลงเธอแอบอ่านสมุดของฉันจริงๆ!”

“เออ น่า เรื่องมันแล้วไปแล้ว มึงจะย้อนหาเพื่ออะไร”

“อัมพร…เธอนี่มัน…”

ฉันมองคนที่แปลงโฉมตัวเองมาเสียจนสวยสะขึ้นอีกหลายเท่า อดรู้สึกอ่อนใจไม่ได้ ถึงยังไง อัมพรก็ยังเป็นอัมพร

เด็กสาวคนนั้น ที่ตัวเองมีความฝันสูงเสียยิ่งกว่าฉัน แต่แค่ไขว่คว้ากันคนละวิธีเสมอมา

“เออ! กูยอมรับก็ได้ กูอ่านสมุดมึงเกือบทั้งเล่มนั้นแหละ กลอนเกินอะไรของมึงกูก็ลักอ่านมาหมด…อ่านจนหมด กูถึงนึกรักมึงไง”

“อัมพร…” ฉันเกือบครางออกมา สิ้นปัญญาจะตอบโต้

“กูนับถือมึงนะอีพี่ มึงมันใฝ่ดีกว่ากู…กูอ่านกลอนมึง จดหมายมึง ข้อความในสมุดมึง มีแต่เรื่องดีๆ ที่มึงคิดจะทำ”

“ดียังไง”

“มึงอยากได้สตางค์ ก็เพราะจะเอาไปช่วยเหลือคนนั้นคนนี้ ทั้งที่ไม่ใช่ทุกคนจะดีกับมึง แล้วตัวมึง ถ้าไม่ได้ลักอ่านที่มึงเขียนเอาไว้ ก็ดูเป็นคนไม่เอาใคร ไม่เอาพี่ไม่เอาน้อง กูเสียอีก ปากว่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ก็ยังทำได้ไม่ถึงไหนสักที คิดจะปลูกเรือนให้พ่อแม่ ก็มีแต่น้ำลายน้ำมูก”

“อัมพร…”

“แต่กูก็สงสัยจริงๆ นะ มึงกับกูจะไปได้ไกลสักเท่าไหน ยิ่งที่มึงวาดฝันเอาไว้ จะปลูกบ้านอยู่เอง จะลืมตาอ้าปากให้ได้ ถ้าไม่ยอมขาย _ีเสียสักอย่าง คนอย่างมึงอย่างกู จะเอาสวรรค์วิมานมาจากไหน มึงจะเอาไม้บงสักเล่มมาแป๋งฟาก ก็ยังต้องใช้สตางค์ซื้อ”

 

ในห้องของคนที่เคยจูบดอมหอมกอด ยามนั้น ที่เจ้าของห้องกระวีกระวาดไปเสาะหาข้าวปลาอาหารมาสู่ อัมพรนั่งคู้เข่าข้างหน้าตัวฉัน และฉันนั่งหมิ่นอยู่บนขอบเตียง

ด้วยการเปลื้องผ้าออกจนเห็นอกเสลาสล้าง ทว่ายิ่งขับเน้นรอยแผลเป็นเด่นชัด ความอัปลักษณ์สีน้ำตาลไหม้ รอยคดเคี้ยวของเส้นไหมเย็บใหม่ ร่องรอยนูนเนื้อที่เหลือซากให้ชวนขนลุกขนพองว่า ก่อนหน้านั้นจะเจ็บปวดทรมานสักปานใด

ไม่ต่างอะไรกับร่องรอยที่ก็ฝากไว้ในร่างกายฉัน บางแผล มันอาจไม่เห็นด้วยตาเปล่าอีกต่อไป แต่ตราบที่หัวใจยังเต้น ฉันก็เห็นมันเสมอด้วยห้วงสำนึกภายใน

“กูถึงอยากถามมึงไง มึงคิดว่า ชีวิตกูกับมึงจะไปได้ถึงไหน จะเป็นยังไงต่อไป?”

“ไม่รู้…ฉันก็ไม่รู้หรอกอัมพร”

“บางทีกูก็คิดนะ ถ้านมกูไม่เป็นเสียอย่างนี้ ก็จะไปขาย _ี เสียให้รู้แล้วรู้รอด มันจะยากสักแค่ไหนเชียว อ้าขาให้มันเอาสะดวกๆ ร้องดังๆ ให้มันฟังว่าเสียวๆ เดี๋ยวเดียวก็ได้เป็นพัน”

“โธ่ อัมพร เธออย่าพูดอย่างนั้น”

“แล้วมึงจะให้กูพูดยังไง? มันเป็นความจริงไม่ใช่รึ!”

“อัมพร…แล้วตอนนี้ ชีวิตจริงๆ ของเธอเป็นยังไง”

“หึ” อัมพรเหยียดปาก “จะเป็นยังไง ก็อยู่ไปวันๆ เป็นลูกจ้างในร้านขายผ้านั่นไง”

“ไหนเธอว่าแต่งงานไปแล้ว เป็นสะใภ้เขา”

“โธ่เอ๋ย คนโง่!” อัมพรจิ้มนิ้วชี้เข้าที่หน้าผากฉันอีกครั้ง “มึงจะเอาอะไรไปแต่งเข้าบ้านเศรษฐีมีเงิน! แล้วนมกูเป็นอย่างนี้ ถ้าเปิดให้เห็นเมื่อไหร่ คิดรึว่ามันจะรักใคร่กูอย่างเก่า”

“หมายถึงยังไง…”

“ไม่มีใครเอากูหรอกอีพี่ มีแต่คนเห็นหน้าตากับร่างนอกเสื้อกูเท่านั้น มีมึงเท่านั้น ที่รู้ที่เห็นทุกอย่างของกูในตอนนี้”

“…”

“กูไม่มีอนาคตอะไรหรอกอีพี่ แม้แต่จะอยากขาย _ี กูก็ยังทำไม่ได้ แล้วมึงคิดดู ไม่มีต้นทุนอะไรสักอย่างหยั่งนี้ ต่อให้กูมีความฝันเป็นร้อยพันอย่าง มันก็คงได้ครึ่งๆ กลางๆ หรือไม่ได้อะไรเลย”

“แล้วถ้าอย่างนั้น เธอจะถามฉันทำไม”

“กูถามมึง เพราะมึงเขียนกลอนได้จับใจ กูได้อ่านกลอนของมึงด้วยที่ลงหนังสือ กูจำได้ว่านั่นของมึง”

“อะไรนะ เธออ่านกลอนของฉันที่ไหนนะ”

“ในหนังสือไง วัยหวานวัยแหวะอะไรสักอย่าง กูบังเอิญได้อ่านที่แผง…กูจำกลอนมึงได้ แล้วมึงก็เขียนจดหมายไปบอกว่า อยากจะทำบ้านทำสวนอะไรของมึง…จนกูยังแปลกใจ กลับมาเจอมึงที่นี่”

 

ชีวิตช่างเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่อาจคาดหมาย และบางครั้ง ไม่รู้ว่าสิ่งที่มาถึงคือข่าวดีหรือข่าวร้าย ฉันจำได้หมดว่าส่งกลอนบทไหนไปหานิตยสารบ้าง แต่ไม่แน่ใจว่า ที่อัมพรอ่านพบคือกลอนบทใด

ที่คาดไม่ถึงอย่างที่สุด เมื่อพบกันใหม่ อัมพรคนสับปะหลี้ กลับมีลักษณะพูดจาเปิดเผยมากขึ้น

…แต่จะใช่ความจริงอีกหรือไม่ ถึงตอนนี้ ฉันเองก็ไม่แน่ใจอยู่ดี

 

ถ้าจะนอนพักให้นานนักจนไม่ต้องตื่นอีก

เพื่อจะหลีกให้พ้นทุกรสความขื่นขม

ไม่ต้องแสดงปั้นหน้าว่าชื่นอยู่ในนรก

อกแท้ตรอมตรม

ถ้าจะเป็นหนึ่งธุลีในสายลม

จะเป็นไปได้ไหม

 

“น่า ขอพี่จูบหน่อย”

พี่ชุนยังคงไขว่คว้าหาคนใหม่ที่หมายปอง ต่อให้ยังอยู่ร่วมห้องกับคู่คนเก่า คือตัวฉันเอง

หรือว่าในโลกเรานี้ ก็ย่อมดำเนินไปด้วยบทบรรเลงเช่นนี้ ทุกคนไขว่คว้า แสวงหาที่ให้ตัวเองโบกโบยบิน ยิ่งยามสิ้นความยับยั้งชั่งใจ โลดแล่นไปกับความรู้สึกเท่านั้น

ภาพใบหน้าขาวๆ ของพี่ชุนรางเลือนลงเรื่อยๆ แต่หูยังแว่วเสียงอัมพรหัวเราะระริกระรี้ มีความอุ่นใจขึ้นมาวูบหนึ่งว่า พี่ชุนย่อมจะไม่อาจล่วงล้ำมากกว่านั้นไป

เพราะอัมพรคงไม่ยอมเปิดนมที่มีรอยแผลให้

หล่อนเปิดให้กับฉันเท่านั้น

แต่ก็นั่นเอง ฉันเองก็ลืมไปว่า หากไม่ต้องเปลื้องผ้าส่วนบน อัมพรก็ยังมีซอกขา และแค่จะอ้ามันออก ปลดผ้าเฉพาะส่วนไป ทำไมจะทำไม่ได้

มารู้ตัวอีกครั้ง ก็เมื่อเห็นพี่ชุนเป็นฝ่ายคุกเข่านั่งยื่นหน้าจะซุกหัวเข้าหาหว่างขาอัมพร