จากคดี “เศรษฐินีสายธรรมะ” ย้อนไป “เอกยุทธ อัญชันบุตร” ว่าด้วย “โชเฟอร์มรณะ”

คดีดังฆ่าเศรษฐินียัดตู้เย็นที่เป็นข่าวเกรียวกราวในขณะนี้ โดยเหยื่อโหดคือ น.ส.วรรณี จิรเจริญยิ่ง อายุ 58 ปี เศรษฐินีนักปฏิบัติธรรม ด้วยฝีมือของคนร้ายที่เข้ามาใกล้ชิด รับจ้างขับรถรับ-ส่งให้ผู้ตาย จนได้รับรู้ว่าเป็นผู้มีเงินทองมากมายบริจาคทำบุญทำทานอยู่เสมอๆ เลยเกิดความโลภกลายเป็นแผนร้าย

ร่วมกันกับกลุ่มคนที่อยู่ใกล้ชิดเศรษฐินีสายธรรมะ จัดการสังหารอย่างเหี้ยมเกรียม แล้วพยายามอำพรางด้วยการยัดในตู้เย็นโบกปูนหวังจะให้ศพไม่เหม็นเน่า ถ่วงเวลาสำหรับการเอาทรัพย์สินผู้ตายไปขาย หรือตระเวนกดเอทีเอ็ม แล้วหลบหนี

คดีนี้เกิดเหตุในบ้านย่าน อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่

หลังเป็นข่าวใหญ่สะเทือนขวัญด้วยพฤติกรรมอันโหดเหี้ยมและพยายามอำพรางศพอย่างพิสดาร กลายเป็นคดีที่ประชาชนสนใจติดตามกันอย่างกว้างขวาง

“พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้กำชับสั่งการไปยังตำรวจท้องที่เชียงใหม่ให้เร่งสืบสวนและติดตามผู้กระทำผิดมาลงโทษให้ได้”

สุดท้ายตำรวจก็สามารถคลี่คลายคดีได้ในที่สุด

“เป็นอีกคดีเขย่าขวัญที่ให้บทเรียนกับคนที่มีฐานะมีเงินทอง ว่าอย่าปล่อยให้คนอื่นที่ไม่ใช่ลูกหลานญาติมิตรสามารถเข้ามาใกล้ชิดและได้รับรู้พฤติกรรมของตนเอง ไปจนถึงรับรู้ว่ามีทรัพย์สินเงินทองจับจ่ายคล่องมือ!”

อย่างรายนี้ รู้ว่าเป็นคนใจบุญ บริจาคเงินบำรุงพระพุทธศาสนาก้อนโตๆ จึงกลายเป็นแผนการร้าย

“ควักจ่ายเงินเพื่อบุญกุศลแท้ๆ แต่กลายเป็นภัยร้ายถึงแก่ชีวิต”

ขณะเดียวกัน คดีในลักษณะเดียวกันนี้ ไม่ใช่รายนี้เป็นคดีแรก โดยเมื่อพบว่าคนร้ายคือคนขับรถประจำตัว ทำให้หลายคนต้องนึกถึงคดีดังอีกคดี

“นั่นคือการสังหารนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจคนดัง เมื่อ 6 ปีก่อน”

ทีแรกก็มีการตีความให้เป็นใบสั่งฆ่าโดยผู้มีอำนาจทางการเมือง เนื่องจากนายเอกยุทธมีบทบาทเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านรัฐบาลยุคยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปั่นกระแสกันไปไกลลิบ

แม้ตำรวจจะจับกุมผู้กระทำผิดได้ ด้วยพยานหลักฐานชัดเจน แต่ก็ไม่ยอมเชื่อ ยืนกรานว่ามีทีมฆ่าระดับมหาประลัยลงมือ แล้วยัดให้ผู้ต้องหาชุดที่ถูกจับเป็นแพะ

แต่ในที่สุดคดีนี้ก็ผ่านการพิสูจน์หลักฐานครบ 3 ศาล จำเลยทั้ง 6 สารภาพทุกขั้นตอน ไม่เคยโวยวายว่าเป็นแค่แพะ

“ลงเอยก็คือคดีฆ่าชิงทรัพย์ โดยคนขับรถประจำตัวของนายเอกยุทธ คือผู้วางแผนลงมือ”

คดีฆ่านายเอกยุทธ อัญชันบุตร ที่มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองไม่ยอมรับผลคดีของตำรวจ จนกลายเป็นประเด็นที่สร้างความสับสนในสังคม แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว ตามพยานหลักฐานที่เป็นจริง คดีนี้ผ่านการพิสูจน์ไปในชั้นศาล จนคดีถึงที่สุด โดยถึงชั้นฎีกาเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2560 เป็นอันปิดฉากอย่างสิ้นเชิง

จำเลยในคดีนี้ทั้ง 6 คน ถูกลงโทษโดยถ้วนหน้า หนัก-เบาตามแต่พฤติกรรมในการร่วมก่อเหตุ

“ตั้งแต่ชั้นจับกุม จนผ่านการดำเนินคดีครบ 3 ศาล ทั้งหมดยอมรับสารภาพ และไม่เคยมีใครแม้แต่คนเดียวที่เคยร้องเรียนว่าตนเองเป็นแพะ!”

จุดเริ่มต้นของคดีทั้งหมด มาจากนายสันติภาพ หรือบอล เพ็งด้วง เด็กหนุ่มวัย 25 ปี คนขับรถประจำตัวของนายเอกยุทธ

เหตุการณ์เริ่มเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2556 เมื่อญาติแจ้งตำรวจว่านายเอกยุทธหายตัวไปพร้อมกับรถตู้พาหนะที่ใช้ประจำ จากนั้นตำรวจได้ตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดและร่องรอยอื่นๆ จึงพบว่ารถตู้ได้แล่นลงไปทางภาคใต้ ก่อนจะย้อนกลับขึ้นมาในอีกวันสองวันต่อมา จึงสกัดจับเอาไว้ได้

ภายในรถมีนายสันติภาพหรือบอล คนขับประจำตัวเป็นผู้ขับขี่ สภาพรถตู้ผ่านการล้างมาใหม่เอี่ยม ในชั้นต้นนายบอลอ้างว่า ขณะขับรถลงไปภาคใต้ผ่านช่วงเพชรบุรี นายเอกยุทธได้ขอลงกลางทาง ไม่ทราบว่าไปไหน แต่เมื่อสอบสวนอย่างเคร่งเครียด ยอมรับสารภาพว่า ร่วมกับเพื่อนลงมือสังหารนายเอกยุทธไปแล้ว

“เนื่องจากในช่วงระหว่างขับรถให้นายเอกยุทธ จะได้รับทราบถึงการจับจ่ายโอนเงินมากมายหลายล้านจากการพูดโทรศัพท์ของเจ้านาย จึงเกิดความโลภ ประกอบกับโกรธแค้นที่นายเอกยุทธเพิ่งปลดพนักงานประจำออฟฟิศที่เป็นแฟนสาวของตนเอง เลยตัดสินใจวางแผนจี้จับตัวเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์!”

โดยติดต่อให้นายสุทธิพงศ์ หรือเบิ้ม พิมพิสาร เพื่อนสนิทมาร่วมก่อเหตุ จี้จับไปกักขังบังคับให้เขียนเช็คจ่ายเงินให้ แต่ต่อมานายเอกยุทธพยายามหลบหนี จึงรัดคอจนถึงแก่ความตายแล้วขับรถนำศพเดินทางไปพัทลุงบ้านของกลุ่มคนร้าย นำไปฝังในไร่รกร้าง

“จากนั้นตำรวจคุมตัวนายบอลกับเพื่อนไปชี้จุดฝังศพก็เจอศพจริงๆ นำไปชี้จุดเก็บซ่อนเงิน ซึ่งฝากอยู่กับพ่อ-แม่ก็เจอจริง”

ย้อนไปดูขั้นตอนคดีนายเอกยุทธ ซึ่งอัยการส่งฟ้องศาล ในวันที่ 4 กันยายน 2556 ระบุความผิดสรุปว่า ระหว่างวันที่ 6-9 มิถุนายน 2556 ต่อเนื่องกัน นายสันติภาพหรือบอล เพ็งด้วง นายสุทธิพงศ์หรือเบิ้ม พิมพิสาร อายุ 30 ปี จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันมีอาวุธปืนพกออโตเมติก ขนาด .380 พร้อมเครื่องกระสุนและอาวุธมีด แล้วปล้นเอาทรัพย์สินของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร รวม 9 รายการ มูลค่า 6.6 ล้านบาท โดยใช้อาวุธทำร้ายและหน่วงเหนี่ยวกักขังบังคับให้นายเอกยุทธออกเช็คเบิกถอนเงิน แล้วใช้เชือกรัดคอจนนายเอกยุทธถึงแก่ความตาย

ก่อนนำศพไปไว้ในรถยนต์ตู้ ทะเบียน ฮพ 9304 ขับไปฝังไว้ในไร่นาสวนผสมทิ้งร้าง อ.เมือง จ.พัทลุง เพื่อปกปิดความผิด โดยมีนายชวลิต หรือเชาว์ วุ่นชุม อายุ 25 ปี, นายทิวากร หรือทิว เกื้อทอง อายุ 20 ปี จำเลยที่ 3-4 ช่วยขุดหลุมฝังศพ ส่วน จ.ส.อ.อิทธิพล เพ็งด้วง อายุ 53 ปี และนางจิตอำไพ เพ็งด้วง อายุ 50 ปี จำเลยที่ 5-6 ซึ่งเป็นบิดา-มารดาของจำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บเงินสดของผู้ตายจำนวน 4,242,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 นำไปฝากไว้

“หลังผ่านการสืบพยานหลักฐาน ซึ่งจำเลยทั้ง 6 รับสารภาพตลอดทุกข้อหา จากนั้นศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2557 ให้ประหารชีวิตนายสันติภาพหรือบอล และนายสุทธิพงศ์ หรือเบิ้ม จำเลยที่ 1-2”

แต่คำให้การชั้นพิจารณาเป็นประโยชน์อยู่บ้างจึงลดโทษเหลือจำคุกตลอดชีวิต และให้จำคุกจำเลยที่ 1-2 ด้วยในข้อหาร่วมกันชิงทรัพย์ คนละ 18 ปี และให้จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 1.9 ล้านบาทให้กับทายาทของผู้เสียชีวิตด้วย

ส่วนนายชวลิตหรือเชาว์ จำเลยที่ 3 ให้จำคุก 13 เดือน สำหรับนายทิวากรหรือทิว จำเลยที่ 4 ให้จำคุก 8 เดือน ส่วน จ.ส.อ.อิทธิพล และนางจิตอำไพ บิดา-มารดาของนายสันติภาพ จำเลยที่ 5-6 ให้ลงโทษฐานรับของโจร แต่จำเลยรับสารภาพ และช่วยติดตามนำเงินของกลางมาคืนจำนวน 4.4 ล้านบาท จึงพิพากษาให้จำคุก 1 ปี 4 เดือน

“จากนั้น วันที่ 30 มิถุนายน 2559 ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น”

เมื่อคดีขึ้นสู่ชั้นฎีกา มีเพียง จ.ส.อ.อิทธิพล จำเลยที่ 5 ยื่นฎีกาเพียงคนเดียว เพื่อขอให้ศาลลดโทษให้

วันที่ 18 ตุลาคม 2560 ศาลได้อ่านคำพิพากษาชั้นฎีกา โดยให้ลงโทษจำเลยที่ 5 ตามคำพิพากษาอุทธรณ์ ส่วนจำเลยอื่นอีก 5 ราย ซึ่งไม่ยื่นฎีกาถือว่าคดีเป็นที่สิ้นสุด ให้บังคับโทษตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

เป็นอันสิ้นสุดคดีฆ่านายเอกยุทธ

บทสรุปของการฆ่าเพื่อประสงค์ต่อทรัพย์ โดยคนขับรถประจำตัวกับพวก

“เป็นบทเรียนไม่ต่างกับคดีฆ่าเศรษฐินีใจบุญล่าสุด นั่นคือภัยจากคนขับรถที่อยู่ใกล้ตัว!”