“มนัญญา ไทยเศรษฐ์” ในมุมคุณแม่ลูก 5 วิพากษ์จุดอ่อน-จุดแข็ง “ชาดา”

หมายเหตุ : บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 27/09/2019

 

หากได้เห็นหน้าเห็นตา “มนัญญา ไทยเศรษฐ์” เชื่อว่าหลายคนคงเดาอายุรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรฯ (ในขณะนั้น) คนนี้ไม่ถูกแน่นอน เพราะหน้าดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริง

และถ้าดูจากหุ่นก็คงไม่รู้ว่าอดีตนายกเทศมนตรีเมืองอุทัยธานีวัย 57 ปีรายนี้ มีลูกหญิงชายรวมกันถึง 5 คน

นั่นเพราะเธอเป็นคนดูแลสุขภาพมาโดยตลอด และมีเคล็ดลับที่ทำให้รูปร่างสวยสมส่วน ซึ่งเป็นสูตรที่ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อน

เริ่มแรกคุยเรื่องการเรื่องงานในความรับผิดชอบของเธอก่อน โดยเจ้าตัวดูแล 4 หน่วยงาน มี กรมส่งเสริมสหกรณ์ กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ อสค. และกรมวิชาการเกษตร

และแม้จะเข้ารับตำแหน่งได้ไม่กี่เดือน แต่ถือว่าเป็นรัฐมนตรีช่วยที่ขยันขันแข็งในการออกพื้นที่คนหนึ่ง

เธอระบุว่าในส่วนของ อสค.มีนโยบายจะปรับนมโรงเรียน จากที่ใช้ถุงพลาสติกบรรจุนมพาสเจอไรซ์ เปลี่ยนเป็นนมกล่องยูเอชทีเพราะแม้ต้นทุนจะสูงกว่าแต่สามารถเก็บไว้ได้นานกว่า

อีกทั้งเมื่อใช้เสร็จก็สามารถนำไปรีไซเคิลประกอบเป็นโต๊ะเก้าอี้ได้อีก

สำหรับกรมส่งเสริมสหกรณ์ จะเปิดตลาดซูเปอร์มาร์เก็ตของกรมที่ซอยอารีย์ โดยนำสินค้าเกษตรอินทรีย์และเกษตรปลอดภัยที่ขึ้นชื่อจากทั่วประเทศมาขาย และในส่วนจังหวัดต่างๆ ก็จะให้เปิดแบบเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่าจังหวัดไหนมีความพร้อม เพื่อเป็นศูนย์กลางให้เกษตรกรนำผลผลิตมาขายโดยตรงกับผู้บริโภคเลย และได้เน้นให้บรรดาสหกรณ์คิดดอกเบี้ยเงินกู้กับเกษตรกรในราคาถูก เพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้อย่างเข้มแข็ง ซึ่งจะทำให้ชุมชนเข้มแข็งไปด้วย

ส่วนกรมวิชาการเกษตร รมช.มนัญญาบอกว่า ได้ให้นโยบายไปว่าควรตรวจอาหารและสารเคมีนำเข้าอย่างละเอียด เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค

และในส่วนของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์นั้นควรจะไปสอนเรื่องการทำบัญชีที่ถูกต้องให้กับสหกรณ์ต่างๆ ด้วย ไม่ใช่จะไปจับผิดอย่างเดียว

กรมวิชาการเกษตร กรมส่งเสริมสหกรณ์ และกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ต้องผนึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วเดินหน้าไปด้วยกันเพื่อทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรดีขึ้น

ช่วงที่นั่งเก้าอี้นายกเทศมนตรีเมืองอุทัยธานี ผู้คนมักเรียกเธอว่า “นายกแหม่ม” นี่เป็นครั้งแรกในการทำงานระดับประเทศ ซึ่งเจ้าตัวเปรียบเทียบการทำงานสองตำแหน่งนี้ให้ฟังว่า “รัฐมนตรีไม่มีกำลังมีแต่นโยบายที่ต้องลงไปแล้วขับเคลื่อน เรียกอธิบดี เรียกรองอธิบดีมาประชุม มาเอากลับไปทำ ดิฉันเองถึงต้องมีนิสัยท้องถิ่น คือต้องลงไปด้วยถึงจะรู้ เพราะเราอยู่ท้องถิ่นจะลงพื้นที่ ปัญหาท่อตัน ไฟไหม้ น้ำประปาไม่ไหล เราต้องบริหารจัดการด้วยการไปดูเอง แล้วลูกน้องก็ตามไป”

“แต่พอเป็นกระทรวง เป็นกรมก็ต้องมีอธิบดี ถ้าอธิบดีให้ความร่วมมือก็ดีไป ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ การขับเคลื่อนก็ค่อนข้างจะยาก มันเป็นระบบ ซึ่งต้องพูดคุยกันบ่อยๆ พูดคุยโดยความเข้าใจ ก็เป็นธรรมดาว่าจริงๆ แล้วเราไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งมาจาก ส.ส. อธิบดีบางคนหรือข้าราชการบางคนคิดว่าอาจจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยต้องทำความเข้าใจพูดคุยกันให้มากขึ้น”

รมช.มนัญญาพูดถึงหลักการทำงานว่า “มีความอ่อนอยู่ในความแข็งนิดๆ และพร้อมรับฟังผู้ร่วมงาน สิ่งแรกคือต้องให้คนทำงานพูดก่อน อย่างเรียกอธิบดี เรียกใครมาก็ขอให้เล่าให้ฟังก่อน แล้วนำมาคิด เพราะอะไรก็ตามจะต้องมี 2 ด้าน มี 2 ฝ่าย แต่ความคิดของเราต้องเป็นธรรม โดยพี่น้องประชาชนมาเป็นอันดับ 1 คิดอะไรก็แล้วแต่ เอาพี่น้องประชาชนเป็นอันดับ 1 สำเร็จแน่”

“แต่ถ้าคิดอะไรเอาอารมณ์ เอาความต้องการของตนเองเป็นที่ตั้ง เรื่องนั้นรับรองได้ว่าไม่สำเร็จ ถึงจะสำเร็จมันก็ดูไม่ดี ความโปร่งใสก็ไม่เกิดขึ้น”

ถามว่า พี่-นายชาดา ไทยเศรษฐ์ ได้ให้คำแนะนำอะไรหรือไม่

เธอตอบว่า “พี่ชายจะไม่มานั่งสอนว่าอย่างนี้ๆ แต่เขาจะทำ เราก็เห็นในสิ่งที่คุณชาดาทำนู่นทำนี่ แบบอย่างของเขาจะทำให้เห็นแล้วคิดเอาเอง แล้วก็นำสิ่งที่ดีกลับไป สิ่งที่ไม่ดีคุณอย่าไปทำ”

“เขาพูดกับดิฉันและลูกหลานเสมอว่า สิ่งที่เขาทำ อันไหนดีก็เก็บไปทำ สิ่งที่ไม่ดีก็อย่าไปทำ คือให้อิสระในด้านความคิด ให้ดูจากตัวเขาก็มีสิ่งที่ผิดพลาดมามาก สิ่งที่เขาทำมาดีมากก็มี ต้องเลือกเอา ตัวอย่างของพี่ชายทำผิดๆ ถูกๆ เราก็เห็นมา อันนี้ผิดเราก็ไม่ทำ ฉะนั้น ต้องเลือกเอาสิ่งที่ดีๆ มา”

รมช.มนัญญาบอกด้วยว่า “เรามีกัน 2 คนพี่น้อง คุณชาดาเป็นคนที่รักน้องมาก เขาพูดเสมอว่า พ่อแม่ตายไปแล้วไม่มีอีกแล้วพี่น้อง เขาเลยรักครอบครัว พอมาถึงรุ่นหลาน ลูกหลานก็ค่อนข้างรักกันมากเพราะดิฉันเองก็เลี้ยงลูกของพี่ชายมา”

หากติดตามข่าวคราวของครอบครัวไทยเศรษฐ์ จะเห็นว่าผ่านเหตุการณ์ความสูญเสียมาหลายครั้งหลายคราตั้งแต่พ่อ แม่ พี่ชายและลูกชายของนายชาดาเอง ขณะที่นายชาดาเองถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเจ้าพ่อ เป็นผู้มีอิทธิพล

เรื่องนี้ รมช.มนัญญาบอกว่า “โอ้โห มากมาย ยิ่งกว่านวนิยายอีก เขียนเป็นนวนิยายได้เลย”

แล้วตอนนี้ครอบครัวยังทำธุรกิจค้าเนื้ออยู่หรือไม่

“ทำค่ะ แต่คุณชาดาเป็นคนทำ คืออย่างคนเลี้ยงโคเลี้ยงกระบือก็มีลูกออกมา ทำให้มีจำนวนเยอะก็ดูเหมือนมีสมบัติเยอะ ซึ่งเป็นอาชีพที่บรรพบุรุษทำมา”

สำหรับจุดเด่นของคุณชาดา เธอมองว่า “จุดเด่นคือ ใครมองอย่างไรก็ตาม แต่เขายืนหยัดด้วยตัวเขาเอง เชื่อมั่นในตัวเอง เขาจะบอกเสมอว่า ไม่ได้ทำอะไรผิด ถ้าจะให้ไปอธิบายกับคนที่ไม่เข้าใจก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร เพราะสิ่งๆ นั้นเขาไม่ได้ทำ”

“พี่ชายเป็นคนจิตใจอ่อน ความอ่อนของเขาเหมือนกับดาบ 2 คม ผู้หญิงที่ไหนอุ้มลูกเข้ามาจะผิดหรือถูกเขาให้หมดเลย เพราะเขาไปเปรียบเทียบกับตัวเขา จุดอ่อนของเขาเป็นความดีที่เขาอยู่ได้ทุกวันนี้ เพราะเป็นคนจิตใจดี แต่ถ้าผิดหรือโมโหอะไร ค่อนข้างออกทางเสียงและหน้าตา”

“พี่ชายเป็นแบบอย่างที่ดี เขาเป็นพ่อที่ดี ไม่เคยตีลูกตีหลาน เมตตารักลูกรักหลานมาก ต้องบอกเลยว่าเสียดาย ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่ช่วยเหลือประชาชนได้ จะเสียบุคลากรที่ดีเลิศไปเลย เพราะเขาเป็นคนมีความคิด และมีความซื่อสัตย์ เป็นคนตรง แต่อาจจะไม่ถูกใจใครบางคน สิ่งที่ผิดเขาจะบอกว่าผิด ขณะที่บางคนอาจจะเก็บเงียบไม่พูด แต่เขาจะออกสไตล์แบบนี้”

“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาใจเย็นขึ้นเยอะ ไม่เหมือนช่วงวัยรุ่น ซึ่งความผิดพลาดของคน มันก็ไม่ได้มาตัดสินคนคนนั้นในอนาคต อดีตมันก็ส่วนอดีต อนาคตมันก็ส่วนอนาคต”

เจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์

ทีนี้มาถึงเรื่องครอบครัวของเธอกันบ้าง สามีเป็นนักธุรกิจชื่อ “นายอนุชา ซักเซ็ค” ปัจจุบันลูกชายคนโตชื่อ เจเศรษฐ์ ไทยเศรษฐ์ เป็น ส.ส.เขต 1 อุทัยธานี พรรคภูมิใจไทย ลูกสาวคนที่ 2 “ปารีณา ซักเซ็ค” มาช่วยคุณแม่ทำงานที่หน้าห้อง โดยไม่มีตำแหน่งอะไร คนที่ 3 กฤษฎา ซักเซ็ค เป็นประธานชมรมจักรยานอุทัยธานี คนที่ 4 ปารีชา ซักเซ็ค เรียนจบจากเอแบค และคนที่ 5 อามาจีนา ซักเซ็ค จบ มศว ประสานมิตร

สรุป ลูกทั้ง 5 โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้ว และเวลาออกพื้นที่โดยเฉพาะใน จ.อุทัยฯ ก็จะมีลูกสาวและหลานสาวร่วมขบวนไปด้วย

คุณแม่ลูก 5 ผู้นี้เล่าอีกว่า “เป็นคนทำอาหารให้ลูกทานมาตลอด ลูกๆ จะติดอาหารแม่มากเลย รวมถึงพี่ชายด้วย จะเน้นทำอาหารตอนเช้า ปกติเป็นคนตื่นเช้า ตื่นตี 5 รีบทำกับข้าว ตอนทำเราก็พูดแต่สิ่งที่ดีๆ แล้วลูกก็ทานอาหารนั้น ลูกเราก็เป็นเด็กดี เราเชื่อแบบนี้”

ช่วงสนทนากันนั้นอดีตนายกแหม่มย้ำว่า “ทุกวันนี้ไม่ได้เป็นคนรวย ไม่ได้เป็นคนมีฐานะอะไร เพียงแต่ว่า เราอยู่ในคำว่าพอเพียงของในหลวง ร.9 ที่ทำให้ไม่ลำบาก อย่าใช้อะไรที่มันเกินตัว ปลูกบ้านหลังหนึ่งเก็บเงินมาตั้ง 10 ปี”

คนทั่วไปคิดว่าครอบครัว “ไทยเศรษฐ์” มีธุรกิจเยอะแยะ น่าจะร่ำรวย

“ไม่ค่ะ ไม่ได้เป็นอย่างที่ทุกคนคิดเลย เพียงแต่ว่าเราอยู่กันอย่างสบายๆ ไม่ลำบาก และนานๆ ครั้งถึงจะไปกินข้าวด้วยกันสักที แต่มื้อนั้นอาจจะเกือบ 2 หมื่น บางครั้งต้องแชร์กัน บางครั้งเป็นปีกว่าจะได้ไปกินข้าวด้วยกัน แต่เผอิญคนไปเห็นพอดี ดิฉันเองเลี้ยงลูกแบบไม่ฟุ่ยเฟือย อย่างเมื่อก่อนที่บ้านมีคอมพ์ใหญ่เครื่องเดียวให้ลูก 5 คนผลัดกันเล่นคนละ 2 ชั่วโมง”

สำหรับการรักษาสุขภาพให้หุ่นดีไม่ลงพุงนั้น รมช.มนัญญาบอกว่า “เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ คือทานข้าวต้มตลอด ทั้ง 3 มื้อเลยตั้งแต่ตอนให้นมลูก แล้วพยายามนำเสื้อผ้าเก่าๆ มาใส่ อย่าเพิ่งซื้อใหม่ เอาเสื้อผ้าเก่ามาลอง อุ๊ย ตัวนี้ใส่ได้แล้ว เหลืออีก 4 นิ้ว 3 นิ้ว 2 นิ้วจะใส่ได้ คนเราพอเอาเสื้อผ้าเก่าๆ มาใส่ มันคับไปเราก็ต้องรู้ตัวแล้วใช่ไหม พยายามให้กำลังใจกับตัวเอง แล้วเลี้ยงลูกเองคงจะเหนื่อยด้วย เลยไม่อ้วน แต่ตอนนี้งานเยอะ ยังจัดสรรเวลาออกกำลังกายไม่ได้สักที”

นับเป็นรัฐมนตรีคนนอกอีกคนที่ผู้คนในสังคมจับตามอง เพราะเป็นที่รับรู้กันว่าเธอมาในโควต้าของพี่ชาย หลังจากนี้คงต้องติดตามกันว่า รมช.มนัญญาจะโชว์ฝีไม้ลายมือในการบริหารจัดการ 4 กรมนี้ได้มากน้อยแค่ไหน