ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 มกราคม 2560 |
---|---|
คอลัมน์ | ไทยมองไทย |
ผู้เขียน | สมหมาย ปาริจฉัตต์ |
เผยแพร่ |
รับฟังข้อคิดเห็นและข้อเสนอต่อผลการทดสอบ Pisa 2015 ของเด็กไทย ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) แล้ว มาฟังทัศนะของนักเศรษฐศาสตร์การศึกษากันต่อ
ดร.ไกรยส ภัทราวาท ผู้เชี่ยวชาญนโยบายด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษา สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) เสนอมุมมองต่อเรื่องนี้ ในงานเขียนของเขา ชื่อว่า PISA 2015 บทเรียนสำคัญจากระดับนานาชาติ ในจดหมายข่าวถึงเพื่อนสมาชิก สสค. ฉบับที่ 220
เขาสะท้อนข้อคิดต่อเสียงวิจารณ์ที่เกิดขึ้นแทบทุกครั้งภายหลังที่มีการประกาศผลการทดสอบความสามารถด้านการศึกษาของเด็กไทยในเวทีนานาชาติ อย่างตรงไปตรงมา
หลายท่านอาจสงสัยว่า “แล้วเยาวชนไทยที่ได้เหรียญโอลิมปิกวิชาการทุกปี ปีละหลายสิบเหรียญมากกว่าหลายประเทศหายไปไหน ทำไมคะแนนเฉลี่ยของไทยถึงไม่อยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก เรื่องนี้ OECD ได้ให้ความกระจ่างเอาไว้ด้วย Pie Chart ที่แสดงจำนวนและสัดส่วนเยาวชนผู้ทำคะแนน PISA ได้สูงสุดในระดับที่ 5-6 ถ่วงน้ำหนักประชากรของแต่ละประเทศเทียบประชากรโลก
สังเกตได้ว่าประเทศสหรัฐอเมริกามีเยาวชนอายุ 15 ที่ได้คะแนนสูงสุดมากถึง 300,000 คน คิดเป็นร้อยละ 8.5 ของประชากรวัยนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกา ในขณะที่ญี่ปุ่นแม้จะมีเยาวชนอายุ 15 ที่ได้คะแนนสูงสุด 174,000 คนซึ่งน้อยกว่าสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อเทียบกับฐานประชากรแล้วกลับสูงมากถึงร้อยละ 15.3 ของประชากร
ส่วนสิงคโปร์แม้จะได้คะแนนเฉลี่ยเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่เมื่อนำเด็กเก่งทั้งหมดจากประเทศสิงคโปร์ไปเทียบสัดส่วนกับประชากรโลกแล้ว สิงคโปร์จึงเล็กนิดเดียว
แม้ผลคะแนนสอบ PISA แต่ละครั้งจะถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวาง แต่นักการศึกษาจำนวนมากทั่วโลกกลับไม่เชื่อว่า ข้อสอบ PISAซึ่งวัดเพียงแค่ทักษะทางปัญญา (Cognitive Skills) ของผู้เข้าสอบใน 3 วิชาภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง สามารถประเมินความสำเร็จของระบบการศึกษาได้ สังคมยังคาดหวังทักษะและคุณลักษณะอื่นๆ ของเยาวชนอีกมากมายที่ข้อสอบ PISA วัดไม่ได้
ProfessorAndreas Schleicher ผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาแห่งองค์การ OECD ก็ออกมายอมรับว่า OECD เองกำลังพัฒนาข้อสอบ PISA ให้สามารถวัดทักษะเชิงพฤติกรรม (Non-cognitive Skills) ที่สังคมคาดหวัง จากการศึกษาในอนาคต
เช่น ทักษะความคิดสร้างสรรค์ และการคิดวิเคราะห์ ที่สำคัญ OECD มิได้ต้องการให้ประเทศต่างๆ นำคะแนน PISA ไปจัดอันดับแข่งขันกัน แต่ต้องการให้นำผลการวิเคราะห์คะแนน PISA ไปใช้ประโยชน์ในเชิงนโยบายและพัฒนาการเรียนการสอนในโรงเรียนทั้งในแง่การส่งเสริมคุณภาพ และลดความเหลื่อมล้ำ ในการพัฒนากำลังคนเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจ
บทเรียนที่สำคัญจาก PISA 2015 ครั้งนี้คือ
1) แม้ยากจนก็เก่งได้ถ้าระบบดี แม้ว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาโดยเฉพาะสถานะทางเศรษฐกิจสังคมของผู้เรียนและโรงเรียนคือปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคะแนน PISA ของนักเรียน แต่กลับมีประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศที่มีระบบการศึกษาที่สามารถพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และการอ่านของเด็กเยาวชนโดยเฉพาะเด็กยากจนได้ไม่แพ้ประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ประเทศเวียดนาม และเอสโตเนีย เป็นต้น
2) ครูต้องพัฒนาการเรียนการสอนร่วมกัน ครูเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จของเยาวชนในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ ผลการวิเคราะห์ของ OECD ชี้ให้เห็นว่าครูที่มีเทคนิคการสอน (Instructional process) ที่ดี โดยเฉพาะเทคนิคการสอนที่มีความยืดหยุ่นทั้งต่อ ผู้เรียนที่มีสมรรถนะสูงและต่ำ รวมทั้งผู้เรียนที่มี่ปัญหาพฤติกรรม
นอกจากนั้น OECD พบว่าผู้เรียนที่ได้รับคำแนะนำ (Feedback) จากครูเป็นรายบุคคลมีแนวโน้มที่จะแสดงให้เห็นถึงทักษะการเรียนรู้ที่ดีกว่า ที่สำคัญประเทศส่วนใหญ่จะมีผลคะแนนที่สูงขึ้นอย่างมีนัยทางสถิติ หากครูช่วยเหลือกันพัฒนาการเรียนการสอน (เรารู้จักกันในชื่อของ PLC – Professional LearningCommunity) โดยพบว่าสูงขึ้นเฉลี่ย 9 คะแนน ในบรรดากลุ่มประเทศ OECD บางประเทศสูงขึ้นมาก เช่น ประเทศสโลวีเนียที่สูงขึ้นกว่า 36 คะแนน เมื่อเทียบกับโรงเรียนที่ไม่มี PLC
3) เวลาเรียนไม่สำคัญเท่าเรียนอย่างไร คุณภาพการใช้เวลาในชั้นเรียนสำคัญกว่าจำนวนเวลาที่ใช้ ผลการวิเคราะห์ของ OECD พบว่าระบบการศึกษาที่สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพไม่จำเป็นต้องใช้เวลามากทั้งในชั้นเรียนและหลังเลิกเรียน ประเทศที่ได้คะแนนเฉลี่ยสูงสุดทุกประเทศใช้เวลาเรียนต่ำกว่าปีละ 1,000 ชั่วโมงทั้งนั้น ตัวอย่างเช่น ประเทศฟินแลนด์ เยอรมนี และญี่ปุ่น ล้วนใช้เวลาเรียนรวมทั้งในและนอกชั้นเรียนน้อยกว่าไทยราว 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
4) เรียนด้วยความสุขและมุ่งสู่อนาคต อีกปัจจัยหนึ่งที่ยังไม่ค่อยได้รับการพดูถึงในบ้านเราเท่าใดนัก
แต่ OECD แสดงให้เห็นว่ามีผลอย่างมากต่อความสำเร็จของเด็กเยาวชนในระดับนานาชาติ คือความสุขในการเรียนรู้ และความคาดหวังในการประกอบอาชีพของนักเรียน
โดยผลการวิเคราะห์ทางสถิติชี้ให้เห็นว่านักเรียนที่สนุกกับการเรียนวิทยาศาสตร์ และสนใจประกอบอาชีพสายวิทยาศาสตร์ในอนาคตล้วนทำคะแนนได้ดีในวิชาวิทยาศาสตร์แทบทั้งสิ้น
ดังนั้น ครูและสถานศึกษาที่ส่งเสริมให้เด็กเยาวชนรักและสนุกกับการเรียนรู้ รวมทั้งเชื่อมโยงให้เห็นถึงความสำคัญการเรียนรู้ต่อการประกอบอาชีพในอนาคต จะช่วยให้ผู้เรียนมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ที่ดีได้
5) ในไทยนักเรียนหญิงเก่งกว่านักเรียนชายสวนทางโลก ความแตกต่างของผลคะแนนระหว่างเพศของเยาวชนไทยมีผลตรงกันข้ามกับค่าเฉลี่ยนานาชาติซึ่งนักเรียนชายมีคะแนนวิชาวิทยาศาสตร์สูงกว่านักเรียนหญิงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
แต่นักเรียนหญิงไทยกลับทำคะแนนวิชาวิทยาศาสตร์ได้สูงกว่านักเรียนชายอย่างมีนัยทางสถิติ
เช่นเดียวกับวิชาการอ่านที่นักเรียนหญิงไทยก็ยังคงทำคะแนนได้ดีกว่านักเรียนชายอย่างมีนัย ส่วนคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ระหว่างนักเรียนชายหญิงไทยไม่แตกต่างกันอย่างมีนัย
6) ครูใหญ่ครูน้อยสำคัญกว่ารัฐบาลกลาง OCED พบว่าบทบาทความเป็นผู้รู้ของครูและ ผอ.โรงเรียน มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จของผู้เรียน และมากกว่าการสั่งการจากหน่วยงานส่วนกลาง ซึ่งพบว่ามีความสัมพันธ์ทางลบกับคะแนนสอบของนักเรียนในการสอบครั้งนี้ โดย OECD อธิบายว่าครูและผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้ที่มีความเข้าใจในปัญหาและบริบทของโรงเรียนและผู้เรียนมากที่สุด การมีอิสระในการตัดสินใจแก้ไขปัญหาในโรงเรียนของตนเองย่อมจะส่งผลดีต่อพัฒนาการด้านการเรียนรู้ของผู้เรียนมากกว่าให้ผู้อื่นเป็นผู้ตัดสินใจ
“นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประเด็นสำคัญจากผลการวิเคราะห์ข้อมูลการสอบ PISA 2015 ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับโรงเรียนและชั้นเรียน” ดร.ไกรยส ทิ้งท้าย
ครับ ฟังข้อคิดทั้งในระดับองค์กรและบุคคลต่อผลการทดสอบความสามารถของเด็กไทยแล้ว ผู้กำหนดนโยบาย ผู้บริหารการศึกษา กรรมการเตรียมการปฏิรูป กรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูป กรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาที่จะเกิดขึ้นภายใน 120 วันหลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะมีท่าทีอย่างไร
จะนำเอาข้อคิด ข้อเสนอเหล่านี้ไปประกอบการพิจารณากำหนดทิศทาง มาตรการเพื่อปฏิรูปการศึกษากันอีกครั้งใหญ่อย่างไร
และจะทำท่าไหนให้อันดับของเด็กไทยเพิ่มสูงขึ้นจนทำให้เป้าหมายไทยแลนด์ 4.0 เป็นจริง
คำตอบยังอยู่ในสายลม