คำ ผกา : ไอดอลกับเสื้อนาซี

คำ ผกา

เมื่อปี 2555 จอห์น กัลลิอาโน อดีตครีเอทีฟไดเร็กเตอร์ของแบรนด์ดิออร์ ถูกถอดคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ของรัฐบาลฝรั่งเศส อันเนื่องมาจากไปทะเลาะเบาะแว้งในบาร์แห่งหนึ่งแล้วไปพูดใส่หน้าคนยิวว่า “โคตรเหง้าแกสมควรถูกรมก๊าซแล้วตายๆ ไปเสียให้หมด” จากนั้นยังบอกว่าตัวเองนั้นรักฮิตเลอร์

กัลลิอาโนบอกว่าตนเองพูดออกไปด้วยความเมามาย

แต่กระนั้น เขาก็ถูกปลดจากแบรนด์ดิออร์อยู่นั่นเอง

หลังจากนั้นเราก็แทบจะไม่ได้ยินชื่อของเขาในวงการแฟชั่นอีก

การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวและยิปซีภายใต้รัฐบาลนาซีนั้นกลายเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลของเยอรมนีในยุคหลังนาซีลงมาที่มันยากจะทำใจว่า ส่วนหนึ่งในอดีตของเราได้กระทำการเข่นฆ่าผู้คนไปมหาศาลอย่างโหดร้าย

ลองสมมุติสถานการณ์ว่า ถ้าเรามีพ่อ-แม่ที่เป็นฆาตกรต่อเนื่อง ฆ่าคนไปมากมาย ตัวเราและลูกหลานของเราจะต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้ให้ได้ พร้อมๆ กับต้องแสดงการขอโทษ สำนึกผิดต่อการกระทำของพ่อแม่เราไปพร้อมๆ กันด้วย

และหากมีสิ่งใดที่เราพอจะทำได้เพื่อชดเชยสิ่งที่เกิดในอดีต เราก็ยินดีจะทำ

สําหรับชาวยิว ประวัติศาสตร์หน้านี้ ก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของโศกนาฏกรรมอันเจ็บปวดอยู่เสมอ

และเป็นความเจ็บปวดที่เราไม่ต้องการให้มันถูกลืม และหวังว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้จะถูกพูดถึงด้วยความเคารพ ด้วยความสำนึกผิด บนความปรารถนาว่า มันไม่ควรจะเกิดขึ้นอีกไม่ว่าจะที่ไหนและกับใคร

ความโหดร้ายที่สุดของการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวคือ เพียงเพราะคุณเป็น “ยิว” คุณจึงต้องตาย ไม่มีเหตุผลอื่น ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่คุณเป็นคนดีหรือไม่ดี แต่เพราะคุณมี “เชื้อชาติ” นั้น (อันเป็นสิ่งที่เราเลือกไม่ได้ เช่น เราไม่เลือกเองว่า เราจะเกิดเป็นคนไทย หรือเราจะเกิดเป็นคนญี่ปุ่น)

และนั่นทำให้เรื่อง racism เป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดในโลกการเมืองสมัยใหม่ ด้วยว่า เราไม่พึงเลือกปฏิบัติ หรือไปกีดกันใครจาก “เชื้อชาติ” ของเขา

เพราะแนวคิด racism นี้ หากขยายตัวกว้างออกไปก็มีแนวโน้มจะทำให้โลกใบนี้กลับไปสู่ขบวนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อีกก็เป็นได้

ขยายความให้กว้างต่อไปก็คือ ใดๆ อันเป็นสิ่งที่ติดตัวเรามาแต่กำเนิด ตั้งแต่เชื้อชาติ สีผิว เพศ ไม่พึงเป็นเหตุผลที่จะทำให้เราถูกเหยียดหยาม กีดกัน

ถามว่าเด็กไทยรับรู้เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวของฮิตเลอร์ไหม? การศึกษาไทยให้ความรู้เรื่อง racism กับนักเรียนมากน้อยแค่ไหน?

การศึกษาไทย เท่าที่ฉันรู้ โดยเฉพาะวิชาสังคมศึกษาและประวัติศาสตร์นั้น เป็นการศึกษาที่มีประเทศไทย สังคมไทย และประวัติศาสตร์ เป็นศูนย์กลางจักรวาล ราวกับว่าโลกหมุนรอบเมืองไทย

เราไม่ได้เรียนประวัติศาสตร์ในฐานะที่เราเป็นส่วนหนึ่งของโลกและสัมพันธ์กับโลกอย่างไร

เราไม่เคยวางไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์ของไทยไปบนไทม์ไลน์ประวัติศาสตร์โลก เพื่อจะได้เห็นว่า ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในประเทศของเราเป็นผลมาจากความเปลี่ยนแปลงภายนอกอย่างไร หรือเราถูกบีบบังคับให้ต้องเปลี่ยนอย่างไร

เพราะฉะนั้น ทุกความเปลี่ยนแปลงสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย จึงมักถูกอธิบายว่า เป็นเพราะคนไทย “เก่ง” ก่อนจะขมวดมาที่แนวคิดที่ค่อนข้างหลงตัวเองว่า เราเป็นประเทศเล็กที่แสนสง่างามและฝ่าฟันขวากหนามนานามาได้อย่างน่าภาคภูมิใจ

นวนิยายอย่างเรื่องทวิภพก็สะท้อนโลกทัศน์เช่นนี้ของคนไทยได้ชัดเจน

ถามว่านักเรียนไทยเรียนประวัติศาสตร์อะไรบ้าง ก็หนีไม่พ้นการทำสงครามกับพม่า เรื่องพม่ามาเผาเมืองแล้วลอกทองของเราไป เรื่องประเทศไทยไม่เคยเป็นเมืองขึ้นของใคร เรื่องคณะราษฎรชิงสุกก่อนห่าม รีบร้อนมีประชาธิปไตย ทำให้ประชาธิปไตยอ่อนปวกเปียกมาจนถึงทุกวันนี้

เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจที่คนไทย เด็กไทยจะไม่หือไม่อือกับนาซี ยิว การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

และเด็กไทยจำนวนไม่น้อยก็นึกว่าสัญลักษณ์ของนาซีคือแฟชั่นอย่างหนึ่ง คล้ายๆ กับที่มีคนชอบเอาสติ๊กเกอร์เช กูวารา ติดรถ โดยไม่จำเป็นต้องรู้ว่า เช กูวารา เป็นใคร ทำอะไร

หรือในยุคหนึ่ง ที่ฉันเคยเห็นบ้านของคนดังในวงการแฟชั่น ผู้แสนจะทุนนิยม บริโภคนิยมจ๋า พากันแต่งบ้านของตัวเองด้วยสัญลักษณ์ของเหมา เจ๋อ ตุง

รูปดาวแดง ค้อน เคียว และสัญลักษณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของ pop culture โดยไม่ได้แคร์ว่า หรืออันที่จริงก็ไม่ได้รู้ ถึงรู้ก็รู้อย่างผิวเผินเต็มที ว่าเหล่านั้นเป็นสัญลักษณ์ของอุดมการณ์อะไรในเชิงการเมือง

รู้แต่ว่า แต่งบ้านด้วยสรรพสิ่งของเหล่านี้แล้วมันดูฮิป ดูเท่

การใช้สัญลักษณ์นาซีในหลายต่อหลายกรณีที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ไม่ว่าจะเป็นพาเหรดของโรงเรียนมัธยมที่เชียงใหม่

ในหลายๆ งานรับน้องของมหาวิทยาลัยหลายแห่งในเมืองไทย

หรือแม้กระทั่งมีการบูมนาซีกันด้วยในมหาวิทยาลัยไทยน่าจะเกิดจากสองกรณีคือ

หนึ่ง ไม่รู้ เกิดมาไม่เคยได้ยินเรื่องนาซี ไม่เคยรู้เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ไม่รู้ว่ายิวคืออะไร เป็นใคร

ต่อให้ได้ยินคำว่าฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ก็เฉยๆ คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ไม่เกี่ยวกับตัวเอง ส่วนสัญลักษณ์นาซีนั้น อาจจะคิดว่าเป็นอะไรบางอย่างที่เท่ เหมือนไปซื้อหมวกรูปค้อนเคียวมาใส่ โดยไม่มีความรู้อะไรกับมันเลย เห็นแต่ว่าเป็นสัญลักษณ์บางอย่างที่ทำให้ตัวเองดูแรง ดูเท่ เห็นคนฮิปๆ คูลๆ เขาใส่กัน ก็เลยซื้อมาใส่บ้าง

คล้ายกับวัยรุ่นที่แห่กันไปซื้อดอกไม้มูรากามิมาติดกระเป๋า บนความรู้ชุดเดียวที่มีอยู่คือ “ตอนนี้เขากำลังฮิต”

สอง เป็นไปได้ว่า มีเด็กวัยรุ่นและคนไทยจำนวนไม่น้อยชื่นชอบฮิตเลอร์และลัทธิฟาสซิสต์อย่างจริงจัง และตราบเท่าที่เราไม่ได้เป็นยิว เราก็ไม่แคร์ว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวมันโหดร้ายและสั่นสะเทือนมนุษยธรรมขนาดไหน ทั้งนี้ เพราะสำหรับชาวไทยจำนวนหนึ่ง คุณค่าของความเป็นมนุษย์ไม่ได้เป็นสากล และเราไม่ได้เห็นว่าชีวิตมนุษย์มีค่าเท่าๆ กัน

เช่น เราอยู่ในสังคมที่เห็นว่าชาวโรฮิงญาสมควรตาย

การส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับไปตายก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้

เราอยู่ในสังคมที่ “ความเป็นอื่น” นั้น สมควรตายอยู่เสมอ

และหากความเป็น “อื่น” ตายลงไปจริงๆ เราพร้อมจะหัวเราะใส่ สมน้ำหน้า สาปแช่ง และอยากให้ตายมากกว่านี้

และคงไม่เป็นการเกินเลยถ้าจะบอกว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่เราเห็นคนเชียร์ให้ฆ่า “คนอื่น” อย่าหน้าชื่นตาบานอยู่เสมอ และไม่มีใครเห็นว่าการเชียร์ให้ฆ่านั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้

เราอยู่ในสังคมที่มีคนถูกฆ่าตายกลางเมืองเป็นร้อย วันรุ่งขึ้นก็มีคนออกไป Big Cleaning อย่างสบายใจ บ้างยังรู้สึกตายน้อยไป ไม่สาสม

เราอยู่ในสังคมที่ครั้งหนึ่งมีคนใส่เสื้อ “ป๊อปคอร์น” อย่างภาคภูมิใจ ใส่อย่างเป็นแฟชั่น ใส่ด้วยความอิ่มเอิบ สดใส

ดังนั้น จะแปลกใจอะไรถ้าคนไทยจะไม่แคร์ ไม่อิน ไม่รู้สึกรู้สากับเหตุการณ์โฮโลคอสต์ ทั้งนี้เพราะเราอยู่ในสังคมที่เห็นว่าการ “ฆ่าคน” ไม่ได้ผิดด้วยตัวของมันเอง ขึ้นอยู่กับว่าไป “ฆ่าใคร” ต่างหาก

คนที่ถูกแปะป้ายว่าเป็น “คนชั่ว” คนที่เป็น “ภัยต่อสังคม” คนที่เป็น “คนบาป” เหล่านั้น ล้วนสมควรถูกฆ่า ฆ่าแล้วแผ่นดินจะสูงขึ้น

เราเชื่อกันเช่นนี้ใช่หรือไม่?

ไม่นับความเป็นฟาสซิสต์ที่มีอยู่ในทุกลมหายใจของคนไทย และเราแสนจะหลงใหลในวัฒนธรรมฟาสซิสต์

ถ้าเราไม่หลงใหลในความเป็นฟาสซิสต์ เราคงไม่มีครูที่สั่งให้นักเรียนคลานเข่าเข้าโรงเรียนเป็นการลงโทษที่มาสาย เราคงไม่มีครูที่จับเด็กไปตัดผมประจานหน้าเสาธงไม่พอ ยังถ่ายคลิปประจานลงโซเชียลมีเดีย เราคงไม่เป็นสังคมที่ยืนยันการมีอยู่ของเครื่องแบบนักเรียน นักศึกษา ชนิดที่เรียกว่า ตายดีกว่า ถ้าจะต้องเห็นนักเรียนไทยไปโรงเรียนโดยไม่มีเครื่องแบบ ถ้าเราไม่หลงใหลความเป็นฟาสซิสต์ เราคงยกเลิกระบบโซตัส และการว้าก การรับน้องกันไปตั้งนานแล้ว และถ้าเราไม่หลงใหลในความเป็นฟาสซิสต์ เราคงไม่เที่ยวแถไปวันๆ ว่า เครื่องแบบและทรงผมภาคบังคับของเด็กนักเรียนคือสิ่งที่จะทำให้เด็กไทยมีระเบียบวินัย

ถ้าเราไม่เป็นฟาสซิสต์ เราคงแยกแยะได้ว่า การหลับหูหลับตา “ฟังคำสั่ง” และ “ปฏิบัติตามคำสั่ง” โดยไม่ต้องใช้สมองคิด ไม่ใช่สิ่งเดียวกับ “วินัย”

ถ้าเราไม่ใช่ฟาสซิสต์ เราจะแยกได้ว่าอะไรคือวินัย อะไรคือการกดขี่ บังคับ ให้สมยอม และอะไรคือการจำนนต่ออำนาจ และอะไรคือการจำนนต่ออำนาจโดยเต็มใจเพราะสมองถูกล้างออกไปหมดแล้ว

ถ้าปีนี้จะมีเด็ก 19 ที่เรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ใส่เสื้อสัญลักษณ์นาซีโดยไม่รู้ และเมื่อถูกวิจารณ์ก็ร้องไห้เป็นเผาเต่า บอกว่าหนูไม่รู้-หนูไม่รู้ในเรื่องที่เด็กทุกคนควรจะรู้ตั้งแต่เรียนประถม 6 แต่หนูก็ไม่รู้ โรงเรียนก็ไม่สอน ใครๆ ก็ไม่สอน หนังสือหนูก็ไม่ได้อ่าน หนังหนูก็คงไม่ได้ดู

ที่สำคัญ หนูอยู่ในสังคมที่เป็นฟาสซิสต์มาตลอดประวัติศาสตร์ของมัน และความฟาสซิสต์นั้นก็คือ norm ของสังคมนี้ด้วยซ้ำไป

สิ่งที่น่าตระหนกที่สุดไม่ใช่ความไม่รู้ แต่คือการไม่รู้ว่าสิ่งน่าละอาย นอกจากจะไม่อายแล้วยังภูมิใจ

สังคมนี้ก็จะอยู่กับไม่รู้ รักในความไม่รู้ ยโสในความไม่รู้ และภาคภูมิใจในความเป็นฟาสซิสต์ของตนต่อไป