คุยกับ “โค้ชหรั่ง-ชาญวิทย์ ผลชีวิน” ศึก “เอเชี่ยนคัพ” กับ ชะตา “ราเยวัช”

ขุนพลนักเตะทีมชาติไทยมีภารกิจสำคัญอีกครั้งกับการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติเอเชีย หรือเอเชี่ยนคัพ 2019 ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 5 มกราคม – 1 กุมภาพันธ์ 2562

นับเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีที่ทีมชาติไทยได้กลับมาแข่งเอเชี่ยนคัพรอบสุดท้าย หลังจากหนหลังสุดเราเคยฟาดแข้งในฐานะเจ้าภาพร่วมกับอีก 3 ชาติอาเซียน คือ มาเลเซีย, เวียดนาม และอินโดนีเซีย เมื่อปี 2007

เอเชี่ยนคัพครั้งนี้มีการเพิ่มจำนวนทีมจาก 16 เป็น 24 ทีม แบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม แชมป์กับรองแชมป์กลุ่ม (12 ทีม) จะผ่านเข้ารอบ 16 ทีมโดยอัตโนมัติ ส่วนอีก 4 ทีมจะเป็นโควต้าของทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุด รวมเป็น 16 ทีมในรอบน็อกเอาต์

รอบแรก ทีมชาติไทยอยู่กลุ่มเอ ร่วมกับเจ้าภาพ ยูเออี, บาห์เรน และอินเดีย โปรแกรมแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม นัดแรก ไทยพบอินเดีย วันที่ 6 มกราคม, นัดสอง พบบาห์เรน วันที่ 10 มกราคม และนัดสุดท้าย พบยูเออี วันที่ 14 มกราคม

หากดูเพื่อนร่วมกลุ่มของทีมชาติไทย ถือว่าเป็นงานที่ไม่หนักจนเกินไปในการแย่งตั๋วเข้ารอบ 16 ทีม ไม่ว่าจะในฐานะแชมป์, รองแชมป์กลุ่ม หรือทีมอันดับ 3 ที่ดีที่สุด

ที่สำคัญ เอเชี่ยนคัพครั้งนี้ยังเป็น “ทัวร์นาเมนต์ชี้ชะตา” ซึ่งจะตัดสินอนาคตของ “มิโลวาน ราเยวัช” หัวหน้าผู้ฝึกสอนชาวเซอร์เบียของทีมชาติไทย

ว่าจะอยู่หรือไป?

ถ้าราเยวัชทำผลงานได้ตามเป้าหมายของ “บิ๊กอ๊อด-พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” นายกสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ ด้วยการนำทีมชาติไทยผ่านเข้ารอบ 16 ทีม เขาจะได้รับการต่อสัญญา หากทำไม่ได้ ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกปลดออกจากตำแหน่ง

อย่างที่ทราบกันดีว่าตอนนี้แฟนบอลไทยเริ่มส่ายหน้ากับรูปแบบการเล่นอันแสนน่าเบื่อในยุคราเยวัช ที่เน้นแต่เกมรับอย่างเดียว

โค้ชที่เคยพาทีมชาติกานาเข้ารอบแปดทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2010 ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังจากทีมชาติไทยทำได้แค่เสมอกับมาเลเซียทั้งสองนัดในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน หรือเอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ 2018 ส่งผลให้ขุนพลช้างศึกต้องหยุดเส้นทางแค่เพียงรอบรองชนะเลิศเท่านั้น

สร้างความผิดหวังให้กับแฟนบอลและยังส่งผลกระทบไปถึง พล.ต.อ.สมยศ ในฐานะผู้บริหารสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“ดร.ชาญวิทย์ ผลชีวิน” หรือโค้ชหรั่ง ผู้คว่ำหวอดในวงการฟุตบอลไทยมากว่า 30 ปี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการและเลขานุการในคณะกรรมการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ วิเคราะห์ความล้มเหลวดังกล่าวว่า สมาคมฟุตบอลฯ ผิดพลาดในเรื่องบริหารจัดการทีมชาติ

เพราะมีการปลด “พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก” ออกจากตำแหน่งเลขาธิการ รวมถึงสั่งให้ “โค้ชเฮง-วิทยา เลาหกุล” ประธานเทคนิค ไปดูแลนักเตะเยาวชนแทน

“ราเยวัชมาคุมทีมชาติไทย เพราะคำตัดสินของประธานเทคนิคว่าเป็นโค้ชที่ดีที่สุด แต่ตอนนี้ (ประธานเทคนิค) ถูกนายกสมาคมพักงาน ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับทีมชาติ และยังปลดเลขาฯ ด้วย เพราะฉะนั้น 2 ตำแหน่งใหญ่ที่เป็นหัวใจหลักไม่มีคนทำงาน นี่คือปัญหา” โค้ชหรั่งเริ่มวิเคราะห์

อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยบอกด้วยว่า ช่วงแรกๆ ที่ราเยวัชเข้ามาทำงานอาจไม่มีปัญหาอะไร เพราะในตอนนั้นนายกสมาคมฟุตบอลฯ ต้องการให้มาช่วยยกระดับทีม

แต่มาถึงตอนนี้ ทุกคนก็เริ่มตั้งคำถามแล้วว่า สไตล์การเล่นที่เป็นอยู่คงไม่เหมาะกับนักเตะไทยเท่าไหร่ ยกตัวอย่างคือแข่งในอาเซียน ทำไมต้องตั้งรับและเน้นลูกโต้กลับอย่างเดียว ทั้งๆ ที่ฝีเท้านักเตะไทยไม่เป็นรองชาติใดเลย

นอกจากนี้ ดร.ชาญวิทย์ยังเปรียบเทียบสไตล์การเล่นของทีมชาติไทยในยุค “ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง” กับยุคราเยวัช ที่มีปรัชญาในการทำงานแตกต่างกันสุดขั้ว

“ช่วงที่ซิโก้คุมทีม เราจะเห็นว่ามีเกมรุกหลากหลาย ทั้งลูกชิ่ง ยิงไกล ลูกครอสจากด้านข้าง จ่ายบอลตามช่อง เล่นสไตล์ติกิ-ตาก้า แต่ยุคราเยวัช เราลงไปรับเลย 90 นาที ผมว่าเราเล่นเกมรับประมาณ 60 นาที

“ผมเข้าใจว่าราเยวัชอาจจะชอบเกมรับ เพราะมันง่าย เล่นโต้กลับ อาศัยความเร็วของกองหน้า 3-4 คนเข้าทำ มันก็ได้ประตู แต่พอเราเล่นกับฟิลิปปินส์หรือมาเลเซีย จะเห็นได้ว่าเกมโต้กลับไม่ค่อยได้ผล เพราะเขาประกบผู้เล่นเราหมดและกดดันพื้นที่”

โค้ชที่เคยพาทีมธนาคารกสิกรไทยคว้าแชมป์เอเชียมาแล้วเอ่ยวิจารณ์

ไม่เพียงเท่านั้น ดร.ชาญวิทย์ยังระบุว่า ตอนนี้วงการฟุตบอลไทยเริ่มประสบปัญหาวิกฤตศรัทธาจากแฟนบอลอีกครั้ง เนื่องจากผลงานของทีมชาติไทยทุกชุดที่ย่ำแย่

“เกิดอะไรขึ้นกับฟุตบอลไทยในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งมันต้องใช้คำว่า ไม่ประสบความสำเร็จเลยเกือบจะทุกชุด ไม่ว่าจะเป็น ยู-16, ยู-19 หรือชุดเอเชี่ยนเกมส์

“เมื่อก่อนชุดใหญ่ไม่ได้แชมป์ ชุดเด็กอาจได้ หรือสลับกัน ชุดเด็กไม่ได้ ชุดใหญ่ได้แทน ก็ยังพอมีให้เห็น แต่ตอนนี้คือแทบไม่เห็นเลย ชูโรงได้หน่อยเป็นแชมป์ซีเกมส์ของโค้ชโย่ง (วรวุธ ศรีมะฆะ) แล้วก็มีทีมฟุตบอลหญิงได้ไปบอลโลก เป็นผงชูรสให้แฟนบอลได้มีความสุขบ้าง” โค้ชหรั่งกล่าว

ส่วนรายการเอเชี่ยนคัพ ซึ่งทีมชาติไทยอยู่ร่วมกลุ่มกับยูเออี, บาห์เรน และอินเดียนั้น อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทยมองว่า หากราเยวัชไม่สามารถนำขุนพลช้างศึกผ่านเข้ารอบ 16 ทีมได้ ปัญหาวิกฤตศรัทธาจากแฟนบอลก็จะตามมาหลอกหลอนหนักหน่วงขึ้น

“เอเชี่ยนคัพครั้งนี้ถามว่าหนักไหม ก็อยู่ในเกณฑ์กลางๆ ไม่ถึงกับหนักมาก เราอาจเป็นรองยูเออี แต่บาห์เรนกับอินเดีย เราสู้ได้ แท็กติกเกมโต้กลับหรือเน้นเกมรับมากหน่อย สามารถนำมาใช้กับยูเออีได้ ยกเว้นเกมพบบาห์เรนและอินเดีย

“ผมขอให้กำลังใจทีมชาติไทย ต้องบอกว่าโอกาสผ่านเข้ารอบ 16 ทีมมีสูงมากๆ ถ้าเราไม่ผ่าน วิกฤตศรัทธาจะยิ่งหนักเข้าไปอีก แล้วท่านนายกบอกว่า ประเมิน (ราเยวัช) แน่นอน ประเมินยังไง มันรู้อยู่แล้ว ทีนี้ถ้าผ่าน (รอบแรก) ล่ะ แฟนบอลยังรับ (ราเยวัช) ได้ไหม โจทย์ตรงนี้สำคัญกว่า”

ดร.ชาญวิทย์ตั้งข้อสงสัยถึงอนาคตของราเยวัช

ขณะเดียวกันปรมาจารย์ลูกหนังคนหนึ่งของวงการฟุตบอลไทย แสดงจุดยืนชัดเจนในการสนับสนุนหลักการ “โค้ชไทยคุมทีมชาติไทย” โดยระบุว่า โค้ชต่างประเทศหากทำผลงานดีหรือไม่ดีก็ตาม พวกเขาจะยังได้เงินค่าจ้างกลับไป แต่สิ่งที่ทิ้งไว้คือปัญหา

ถึงแม้บางช่วงทีมชาติไทยภายใต้การนำของโค้ชต่างชาติจะประสบความสำเร็จ แต่สุดท้าย คนที่ต้องพัฒนาวงการฟุตบอลต่อก็คือโค้ชไทย

“ผมชอบวลีเด็ดของแฟนบอล “บอลนอกแค่สะใจ บอลไทยยังไงก็อยู่ในสายเลือด” ใครจะมาทำ ใครจะมาคุม ผมก็สนับสนุน อยากให้เขาพัฒนาวงการฟุตบอลไทยไปสู่ระดับเอเชีย ผมเชื่อในพลังศรัทธาของแฟนบอล จะวิกฤตศรัทธาขนาดไหน ถึงจุดหนึ่งพอทีมชาติไทยเล่น ทุกคนก็กลับมาเชียร์”

ดร.ชาญวิทย์กล่าวทิ้งท้าย