วางบิล /เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์/สู่ร่มกาสาวพัสตร์ ทางสามแพร่ง

วางบิล /เรืองชัย ทรัพย์นิรันดร์

สู่ร่มกาสาวพัสตร์

ทางสามแพร่ง

 

ผ่านวิกฤตบทเรียนธุดงค์ครั้งแรกมาได้ เช้ามืดรู้สึกตัวตื่นขึ้น แสงสว่างรอบๆ ยังเพียงสลัว มองออกไปนอกกลด ทั้งพระเจ้าคุณและพระหลวงพี่ยังนั่งสมาธิ สักครู่หนึ่งจึงขยับตัวยกชายกลดขึ้น ท่านเจ้าคุณมองมาที่พระปาน เห็นว่าตื่นแล้ว จึงไม่ได้ทักทายกัน

พระปานลุกขึ้นนั่ง เตรียมตัวเก็บสัมภาระและเก็บกลด มองไปยังที่ปลดทุกข์เมื่อคืน สูดลมหายใจเข้าปอด ไม่ยักกะได้กลิ่นผิดปกติ คงอยู่เหนือลม จึงไม่มีกลิ่นโชยมาให้ผิดสังเกต หยิบกระติกน้ำขึ้นมาจัดการบ้วนปาก ล้างหน้า แล้วจัดการเก็บกลด

เช่นเดียวกับท่านเจ้าคุณและพระหลวงพี่รูปนั้นที่จัดการกับสัมภาระของตัวเองเรียบร้อย เตรียมตัวออกเดินกลับวัด ท่านเจ้าคุณถามพระปานว่าทำสมาธิได้ดีไหม หลับสบายดีหรือ เท่านั้น พระปานยังไม่ทันตอบ ได้แต่เดินตามท่านทั้งสอง

ผ่านทางขาขึ้น ต้นไม้ใบหญ้า กิ่งก้านระเกะระกะ แต่เดินได้เร็วขึ้น กระทั่งผ่านต้นไม้ที่โค่นขวางทางเดินเมื่อคืน จึงรู้ว่าเป็นต้นสำรองที่ชาวบ้านโค่นเพื่อเก็บลูกสำรองไปแช่กินน้ำ และลูกสำรองเหมือนวุ้นสีน้ำตาลเข้ม เมื่อนำมาผสมน้ำตาลให้มีรสหวาน

ดื่มเป็นน้ำปานะได้เช่นกัน

 

ลงมาถึงกุฏิ ต่างแยกย้ายไปเข้ากุฏิ พระปานเพิ่งสังเกตกุฏิที่สร้างเป็นเรือนไม้สองชั้นเรียงรายลดหลั่นตามไหล่เขาลาดลงด้านล่าง มีจำนวนกี่หลังไม่ทราบ ชั้นบนด้านหนึ่งเป็นห้องพักขนาดย่อมประมาณ 4 x 4 เมตรเห็นจะได้ หลังคามุงกระเบื้อง มีหน้าต่าง 3 ด้าน ประตู 1 ด้าน ด้านบนมีทางเดินยาว 25 ก้าว กว้างสัก 2 เมตร มีราวกั้น สำหรับเดินจงกรมทั้งกลางวันและกลางคืน ด้านล่างเป็นใต้ถุน ตรงกับด้านบนคือทางเดินจงกรมน่าจะเฉพาะกลางวัน

จัดการสรงน้ำเสร็จ ห่มจีวรสะพายบาตรกับย่ามลงไปที่ศาลาการเปรียญ ด้วยใกล้เวลาฉันเช้า

บ่ายวันนั้น พระปานใช้เวลาสนทนากับหลวงพี่เสริมซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงมาดูแลพระนักศึกษา

หลวงพี่เสริมอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพระปาน บวชมาตั้งแต่ยังเป็นเณร แล้วติดตามท่านเจ้าคุณที่มาเป็นเจ้าคณะของวัดนี้ กระทั่งครบบวช จึงอุปสมบทแล้วจำพรรษา ปีนี้ได้ 5 พรรษาแล้ว

แม้หลวงพี่เสริมไม่เคยบอกว่าจะลาสิกขาเมื่อไหร่ หรือจะบวชนานกี่พรรษา แต่พระปานสังเกตจากวัตรปฏิบัติของหลวงพี่แล้วดูจะเคร่งและตั้งใจศึกษาเพื่อให้ได้เปรียญธรรมสามประโยค ซึ่งจะได้รับการเรียกขานว่า “มหา” ก่อนที่จะร่ำเรียนต่อไปถึงประโยคเปรียญธรรมที่สูงขึ้นไป

ส่วนจะร่ำเรียนให้ถึงประโยคเก้า ซึ่งเป็นเปรียญธรรมชั้นสูงสุดหรือไม่ หลวงพี่พระเสริมเคยบอกว่า ต้องแล้วแต่วาสนาจะไปได้ถึงหรือไม่

 

เรื่องที่พระปานชวนสนทนา คือเรื่องการอยู่ในเพศบรรพชิตได้นานๆ ต้องทำอย่างไร อย่างน้อยเผื่อจะได้ขอบวชเรียนสักพรรษาที่ใกล้ถึงแล้ว

หลวงพี่เสริมไม่ตอบตรงๆ แต่บอกว่า ที่ท่านอยู่มาได้ถึงวันนี้ที่จริงไม่ได้ตั้งใจว่าจะบวชนานสักกี่พรรษา เมื่ออยู่เป็นพระมาเรื่อย ไม่ได้เดือดร้อนอะไร โยมทางบ้านไม่ได้เป็นห่วง มาเยี่ยมทีไรก็บอกให้เจริญในพระธรรมไปนานๆ เท่านั้น

ถามเรื่องธุดงค์ หลวงพี่เสริมบอกไม่เคยไปธุดงค์นานๆ นอกจากมาเป็นพระพี่เลี้ยงให้พระนักศึกษาที่นี่เท่านั้น จึงไม่รู้ว่าการไปธุดงค์เป็นอย่างไร ได้อ่านได้ฟังแต่พระอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านเขียนให้อ่าน พูดให้ฟัง

ส่วนเรื่องการปฏิบัติสมาธิ หลวงพี่เสริมบอกแต่เพียงว่า ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่กำหนดว่าจะต้องถึงขั้นไหนของการปฏิบัติ ทำเพียงให้จิตใจสงบ ให้มีสมาธิเวลาอ่านหนังสือท่องหนังสือ กับเวลาไปสอนนักเรียนโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ที่วัด ที่ต้องสอนให้ปฏิบัติสมาธิไปด้วย

พระปานรู้มาก่อนบวชว่า หลวงพี่เสริมเป็นหนึ่งในผู้กระตือรือร้นร่วมก่อตั้งโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ ใช้โรงเรียนประถมศึกษาของวัดเป็นที่เรียน ได้รับความไว้วางใจจากท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสให้เป็นผู้ดูแล คล้ายกับครูใหญ่ มีชั่วโมงสอนนักเรียนวันอาทิตย์หลายชั่วโมง

 

เมื่อพระปานถามถึงการจะอยู่ในพรรษา แต่ขอออกไปอยู่ในวัดที่เรียกว่าวัดป่า ซึ่งมีไม่น้อยในภาคอีสาน จะได้มีเวลาปฏิบัติสมาธิวิปัสสนามากขึ้น

“ก็ดี…” หลวงพี่เสริมตอบ ใบหน้ายิ้มน้อยๆ “แล้วจะไปอยู่วัดไหนล่ะ”

พระปานยังไม่ตอบทันที แต่บอกว่า เคยคุณ กับพระอาจารย์ที่มาจากวัดทางโคราช ว่าจะขอไปจำพรรษาที่วัดท่าน “พระอาจารย์บอกคล้ายกับหยั่งใจว่า จะอยู่ได้หรือ ท่านเคยอยู่แต่ในกรุงเทพฯ”

“ผมบอกท่านไปว่า คงอยู่ได้ มาอยู่ที่นี่ชักชอบที่ทางในป่า เผื่อว่าจะได้ไกลจากกรุงเทพฯ” พระปานบอกหลวงพี่เสริมว่าตอบท่านไปอย่างนั้น แล้วใจนึกไพล่ไปถึงจงจิตที่ต้องออกไปอยู่โรงเรียนในชนบทด้วยเหตุผิดหวังจากผู้ชายคนที่เธอรักหวังแต่งงาน แต่แล้ว…

พระปานสลัดความคิดนั้นให้ออกไปจากจิตใจ หันกลับมาถึงเรื่องที่ชวนหลวงพี่เสริมพูดคุย “ท่านอาจารย์ยังบอกเหมือนรู้ใจว่า ประเดี๋ยวอยู่ได้เดือนครึ่งเดือนจะขอกลับกรุงเทพฯ น่ะสิ… ผมตอบท่านอาจารย์ไปว่า คงไม่เป็นอย่างนั้นครับ มาอยู่ที่นี่ได้เกือบเดือนยังอยู่ได้… ผมยังตอบไม่จบ ท่านอาจารย์กลับบอกว่า ที่นี่มีเพื่อนพระ ไม่มีเวลาทำอะไรมาก ไปอยู่วัดป่าต้องอยู่องค์เดียว มีเวลาว่างมาก ประเดี๋ยวเหงาแย่”

พระปานบอกเล่าให้หลวงพี่เสริมฟังในรายละเอียด แล้วถามว่า “หากจะขอไปจำพรรษาที่วัดนั้นจริง ต้องทำยังไงครับ”

หลวงพี่เสริมยังไม่ตอบทันที เพียงแต่ยิ้มให้แล้วว่า “เอาไว้ถึงเวลานั้นก่อน ค่อยหารือกัน”

 

พระปานนิ่งรับฟัง แล้วต่างเงียบไปสักพักหนึ่ง หลวงพี่พระเสริมขยับตัวลุกขึ้น บอกว่าจะไปเตรียมตัวลงไปดูพระนักศึกษาที่ศาลาการเปรียญมาพร้อมกันหรือยัง

เมื่อเห็นเช่นนั้น พระปานจึงลุกขึ้นกลับกุฏิเตรียมตัวลงไปที่ศาลาการเปรียญด้วย

ระหว่างกลับกุฏิ พระปานยังคิดถึงเรื่องอยู่ต่อในพรรษาที่วัดป่าซึ่งเคยพูดคุยไว้กับท่านอาจารย์วัดนั้น ไม่รู้ว่าท่านเจ้าคุณใหญ่ อุปัชฌาย์จะอนุญาตหรือไม่ ทั้งคงต้องใช้เวลาอีกพอสมควร แต่ที่พระปานไม่ห่วงคือเรื่องโยมแม่ส้มจีน ท่านคงอนุโมทนาที่จะเห็นพระปานบวชเต็มพรรษา ซึ่งหมายถึงเต็มปีหนึ่งพอดี ส่วนที่ทำงาน แม้จะเป็นห่วงบ้าง แต่คงไม่มากนัก ด้วยระหว่างบวช เพื่อนสองสามคนยังมาชวนให้สึกไปทำงาน

“ช่วงนี้มีงานเข้ามามากขึ้น” เพื่อนบอก และว่า

“คงมีการเปลี่ยนรัฐบาล ไม่รู้ว่าจะปลดนายกรัฐมนตรีคนนี้ออกแล้วเปลี่ยนคนใหม่หรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ทางการเมืองคงคลี่คลายไปได้บ้าง”