ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 19 - 25 เมษายน 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ |
ผู้เขียน | หนุ่มเมืองจันท์ |
เผยแพร่ |
ตอนนี้เรื่อง “ดิจิทัลวอลเล็ต” ของรัฐบาลเริ่มเห็นเป็นรูปร่างแล้ว อย่างน้อยก็รู้ว่าจะเอาเงิน 500,000 ล้านบาทมาจากไหน
ต้องยอมรับว่างานนี้พรรคเพื่อไทยเสียรังวัดไปมากทีเดียว
เพราะตามปกติไอเดียอะไรของ “เพื่อไทย” ที่แปลกและแตกต่างจากโครงการทั่วไป
คนส่วนใหญ่จะให้ “ความเชื่อมั่น” ว่าเขาทำได้
เพราะเคยมีบทเรียนมาจาก “30 บาทรักษาทุกโรค-กองทุนหมู่บ้าน-โอท็อป” ในอดีต
โครงการอะไรที่บอกว่าทำไม่ได้ ขายฝัน
แต่เขาทำสำเร็จมาแล้ว
ผมก็เป็นคนหนึ่งเหมือนกันที่เคยเชื่อมั่นในโครงการของพรรคไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทย
พอเขาประกาศแคมเปญหาเสียงแจก “ดิจิทัลวอลเล็ต” 10,000 บาทแก่คนไทยทุกคนที่อายุเกิน 16 ปี
ผมก็โน้มเอียงไปแล้วว่าเขาทำได้
แต่พอถึงเวลาจริง ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตามที่หาเสียงไว้
ทุกอย่างยักตื้นติดกึกไปหมด
ทั้งที่มาของเงิน ระบบที่ใช้ จำนวนคนที่ได้เงินหมื่น ฯลฯ
พรรคเพื่อไทยคิดงานไม่ละเอียดจริงๆ
โครงการล่าช้ามาเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ปักธงชัดเจนว่าจะแจกเงินดิจิทัลก้อนนี้ตอนไตรมาส 4 ปีนี้
หรือประมาณ 1 ปีครึ่งหลังเลือกตั้ง
พอขยับเวลาได้ รัฐบาลเพื่อไทยก็เริ่มปรับแผนเรื่องการเงินใหม่จากที่ต้องดึงดันกู้เงินเพียงอย่างเดียว
เปลี่ยนมาใช้เงินจาก 3 แหล่ง
1. งบฯ ปีนี้
2. งบฯ ปีหน้า
และ 3. ใช้เงินจาก ธ.ก.ส.
ก้อน 1-2 ไม่น่าจะมีปัญหาเท่าไร
แต่ก้อนที่ 3 คงเจอด่านสกัดอยู่พอประมาณ
นอกจากนั้น เรื่องระบบที่ใช้ รัฐบาลไม่ยอมใช้แอพพ์ “เป๋าตังค์” แต่สร้าง “ซูเปอร์แอพพ์” ขึ้นใหม่
แม้ฟังดูจะมีเหตุผลอยู่บ้างว่าถ้าใช้เงินก้อนใหญ่ไปถึง 500,000 ล้านบาท ประชากรที่จะเข้ามาในระบบเกือบทั้งประเทศ
เราควรจะใช้โอกาสนี้สร้าง “แอพพ์” ใหม่ขึ้นมาเองเพื่อใช้ในเรื่องอื่นๆ ด้วย
แต่คนในวงการก็ตั้งคำถามว่าจะทำได้จริงหรือไม่
ใช้งบประมาณเท่าไร
เรื่องนี้คงต้องถกกันต่อไป
แต่มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ
โครงการนี้โดนวิพากษ์วิจารณ์ว่าช่วย “เจ้าสัว”
เพราะเปิดให้คนซื้อของในร้านค้าสะดวกซื้อได้ด้วย
และแน่นอน ร้านที่โดนหนักที่สุด คือ ร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น ของซีพี
หลายคนมองว่าพอเปิดให้ 7-11 เข้าร่วมโครงการได้ ชาวบ้านที่ได้เงินก็จะเอาเงินดิจิทัลไปใช้ในร้านนี้หมด
“เจ้าสัว” รับเละ
ประเด็นนี้มีเรื่องน่าสนใจ 2 เรื่อง
เรื่องแรก กระแสโจมตีที่พุ่งเป้าไปที่ 7-11 โดยตรง แสดงให้เห็นว่า “ภาพลักษณ์” ของ 7-11 ในใจประชาชนค่อนข้างติดลบมาก ไม่ใช่เพราะ 7-11 เป็นร้านสะดวกซื้อที่มีสาขามากที่สุดเท่านั้น แต่เป็นเรื่อง “ความรู้สึก” ที่ฝังลึกในใจคน
อธิบายยากมากเลยครับ
แต่ถ้าลองดูในโซเชียลมีเดีย เวลามีใครเขียนชมคุณธนินท์ เจียรวนนท์ ซีพี หรือร้าน 7-11 เมื่อไร
จะมีคนเข้าโพสต์ต่อว่าทันที
ทั้งที่บางเรื่องก็ไม่เป็นธรรมกับคุณธนินท์และ 7-11
แต่เหมือนกับคนจะไม่ฟัง
ลงรากถึงระดับ “ความเชื่อ” ไปแล้ว
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ของเครือซีพี
เพราะเหมือนว่าทำดีเท่าไรก็ไม่ได้ดี
บางทียุทธศาสตร์ “ครบวงจร” ที่เคยทำให้ซีพีประสบความสำเร็จอาจต้องมีการทบทวนบ้างถึงผลกระทบด้านลบต่อภาพลักษณ์องค์กร
ไม่รู้ว่าระหว่างที่ “ครบวงจร” เราไปกระทบกระทั่ง “คนตัวเล็ก” มากน้อยแค่ไหน
เวลา “ยักษ์ใหญ่” หายใจเบาๆ
บางที “มด” ก็กระเด็นได้
อย่างกรณี “ดิจิทัลวอลเล็ต” ผมเชื่อว่าผู้บริหาร 7-11 รู้ว่าตนเองได้รับประโยชน์ด้วยอย่างแน่นอน
แต่จะได้มากหรือน้อยแค่ไหน อยู่ที่ “วิธีคิด” ของผู้บริหาร
ถ้าเขาอยากได้เยอะ เขาก็จัดแคมเปญกระตุ้นให้คนใช้ “ดิจิทัลวอลเล็ต” มาซื้อของที่ 7-11
อาจเพิ่มสินค้าแค็ตตาล็อกมากขึ้น แทนที่จะมีแต่อาหารและสินค้าอุปโภคบริโภคในร้าน
แต่ถ้าเขารู้ว่าภาพลักษณ์ของ 7-11 ในใจคนเป็นอย่างไร
และไม่อยากเป็นเป้าในการโจมตี
เขาก็ต้องลดป้าหมายเรื่องนี้ลง
เรื่องบางเรื่องคิดได้
แต่อย่าทำ
อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่อง “จินตนาการ” ครับ
ผมไม่รู้ว่าเราจินตนาการกับ “ดิจิทัลวอลเล็ต” 10,000 บาทอย่างไร
มีคนตั้งประเด็นว่าถ้าโครงการนี้เกิดขึ้น ร้าน 7-11 จะได้ประโยชน์ เพราะคนจะแห่ไปซื้อของในร้าน 7-11
ตอนแรกผมก็คล้อยตาม แต่พอนึกดูอีกที
เดี๋ยวนะ…
เงินดิจิทัลตั้ง 10,000 บาทนะครับ
ไม่ใช่บัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือโครงการคนละครึ่ง
10,000 บาทมันเยอะนะ
พกเงินหมื่นไปซื้อของใน 7-11 เป็นเศรษฐีได้เลยนะครับ
สำหรับผม เงินดิจิทัล 10,000 บาท เหมือนกับเราได้ “โบนัสปลายปี”
นึกถึงตอนเราได้โบนัส 10,000 บาทสิครับ
เราจะบอกไหมว่า “เฮ้ย ไปฉลองที่ 7-11 กันเถอะ”
คงไม่มีใครทำหรอกครับ
อย่างดีก็นัดไปเลี้ยงฉลองกัน
เหมือนถูกหวย
เมื่อจำนวนเงินสูง “วิธีคิด” ต่อเงินก้อนนี้จะแตกต่างจากบัตรสวัสดิการแห่งรัฐอย่างแน่นอน
แค่รู้ว่าปลายปีนี้จะได้เงินหมื่น
เขาก็จะคิดถึงสินค้าใหญ่ๆ อะไรที่ขาดหรืออยากได้
ไม่ใช่จะเป็นการซื้อของใน 7-11 อย่างแน่นอน
อาจจะซื้อของใหญ่แล้วเงินเหลือก็ซื้ออาหาร หรือสินค้าใน 7-11 บ้าง
ผมเชื่อว่า “วิธีคิด” ของคนในการใช้เงิน 10,000 บาท จะค่อนข้างหลากหลาย
บางครอบครัวอาจรวมเงินกัน เพื่อซ่อมแซมบ้าน หรือซื้อของใหญ่ของบ้าน
หรือรวมเงินกันทำธุรกิจเล็กๆ ของครอบครัว
บางคนอาจเตรียมซื้อของที่อยากได้
พ่อแม่บางคนอาจเอาเงินไปซื้อชุดนักเรียนหรือคอมพิวเตอร์ให้ลูก
บางคนก็เอาไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน
หรือบางคนก็เตรียมหาวิธีการไปใช้ในร้านที่แลกเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ ถามว่าด้วยวิธีการไหน
ไม่รู้ครับ
แต่รู้ว่ามีคนคิดอย่างแน่นอน
คนที่คิดโกง ยังไงก็พยายามหาวิธีการโกง
ส่วนคนคิดดี ยังไงก็คิดดี
และบางทีก็ดีกว่าที่เราจะคาดคิดเสียอีก
เรื่องการใช้เงิน อย่าไปคิดแทนประชาชนเลยครับ
เพราะ “ความจำเป็น” ของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน
เรื่องแบบนี้อย่าดูถูกประชาชน
และเคารพสิทธิของเขาบ้าง •
ฟาสต์ฟู้ดธุรกิจ | หนุ่มเมืองจันท์
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022