ทวีปที่สาบสูญ : อะไร? ที่ถักไขว้ในห้วงความนึกคิด

[ฉันอยากเขียนจดหมายถึงเธอนะ แพรวพลอย ฉันอยากเขียนจดหมายถึงเธอนะ ชื่นใจ ฉันอยากเขียนจดหมายถึงเธอนะ นางฟ้า ฉันอยากจะเขียนจดหมายถึงใครสักคนมากเลยนะ แต่ไม่รู้ว่าจะเขียนถึงใคร

มันช่างเศร้าเหลือเกิน กับการเดินอยู่เพียงลำพังในเมืองเมืองหนึ่ง ซึ่งบางครั้งฉันก็เคยคิดว่า ฉันควรจะเกิดมาเพื่อจะอยู่กับมันตลอดไป

ไม่ได้อยากจะไปไหน…ในตอนที่ไม่อยากไป แต่ก็กลับต้องไปเสียทุกที

แล้วพอเวลาที่ไม่อยากอยู่ กลับต้องมาอยู่ เหมือนในตอนนี้

ฉันอยากจะเขียนจดหมายให้ยาวสักหมื่นหน้ากระดาษ ฉันอยากจะวาดรูปก้อนเมฆไว้เต็มท้องฟ้า อยากจะวาดทุ่งหญ้าที่ปลิวไสวในแสงตะวัน

อยากจะวาดตัวฉันวิ่งเล่นไปกับอาทิตย์ฉาย หญ้าระปลายข้อเท้า พวกเราที่อยู่ด้วยกัน ตะโกนวิ่งไล่กัน

พวกเธอ พวกแก พวกฉัน กับเสียงหัวเราะเหล่านั้น ตั้งแต่เช้าสายจนบ่ายจนเย็น จนถึงสนธยา

ฉันคิดถึง คิดถึงนักหนา บางเวลาก็อยากจะบอกออกไปแบบนั้น

ฉันคิดถึงนะ หลายๆ ห้วงเวลาที่พวกเราเคยอยู่ด้วยกัน แสงสีส้มเหมือนลูกหมากแก่จัด ตะวันเหนือกอไม้ไผ่ ก๊างเฟืองที่เราแอบปีนขึ้นไป ต้นมะไฟ ต้นหว้า ต้นมะเดื่อกลางน้ำ กับก้อนหินกลมมน กองทราย ตลิ่ง ทุกสิ่งที่ผ่านเราไปหมดแล้ว

ฉันจะทำอย่างไร ถึงจะได้เจออีก แสงในดวงตาที่วาวแวว ความสุขชั่วคราวที่เราพลัดพรากเสียจากมัน ฉันจะทำอย่างไร จะต้องเขียนถึงใคร จึงจะบอกได้หมดในอกฝัน]

 

ตัวหนังสือของฉัน จารลงไปในหน้ากระดาษสมุด ทีละตัว ละวรรค จนกระทั่งเกือบเต็มหน้ากระดาษ

ปราศจากจุดมุ่งหมายอื่นใด นอกจากอยากระบายออกไป อยากให้สมองว่างเปล่าเสียบ้าง

ฉันไปทำงานทุกวัน ในแปลงเพาะต้นกล้าใบยาสูบ อยู่กับงานหนัก ร่างกายอ่อนล้า เต็มไปด้วยกลิ่นสาบคราบไคล

ฉันไปทำงานทุกวัน รับค่าจ้างรายวันเรื่อยไป กลับบ้านมากินข้าว เข้านอน ตื่นเช้าออกไปทำงานใหม่

ตกหลุมรักผู้หญิงคนใหม่ สนใจมันพร้อมกันสองคน และยังมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับญาติผู้น้อง

ชีวิตลอยละล่องอยู่ในความเปล่าเปลี่ยว โดดเดี่ยว แปลกแยก และรู้สึกตลอดเวลาว่าตัวเองแตกต่างจากคนอื่น

 

อาจเพราะเมื่อส่องกระจก ฉันมักจะพบตัวฉัน ในกระจกบานเล็กๆ ที่มีรอยแตก ในห้องน้ำที่มีรูโหว่และโอ่งดินเผาเก่าๆ แห่งนั้น สิ่งที่เป็นตัวฉัน ก็คือเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งไม่เคยเติบโตได้เลย

อาจเพราะฉันไม่เคย จะออกจากเปลือกเปราะบางเหล่านั้นได้ ทั้งๆ ที่ตัวฉันข้างในเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผล และแข็งกระด้างขึ้นทุกวัน

อาจจะเพราะตัวฉัน แท้แล้วอ่อนแอ ฉันแค่หวาดกลัวอยู่ในส่วนลึก เมื่อสำนึกว่าตัวเองเป็นเพียงแมงแด้ ฉันแค่สำเหนียกอย่างยอมจำนนว่า จริงแล้วฉันจะไม่มีทางไป

อาจจะเพราะทุกๆ วันที่ผ่านไป ในโลกที่มีพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก คำพูดที่ว่าสวรรค์อยู่ในอกนรกอยู่ในใจมันไม่เคยเป็นความจริง

นรกอยู่ในทุกสิ่ง…ต่างหาก

 

“พี่คะ”

น้องสาวของรอยมาหาฉันเหมือนทุกวัน ใบหน้านั้นยังระเรื่อเพราะเจือความรู้สึกข้างใน

“พี่ทำอะไรอยู่คะ”

ฝนเพิ่งซาสายลง เหมือนทุกๆ ครั้ง หากฉันกลับมาบ้านเร็วเพราะการเหมางาน…เพราะการทุ่มขุดดินจนเกือบมือแตกชา เด็กสาวจะรอจนเห็นจักรยานผ่านหน้า ก็จะตามหลังมาเร็วไว

ใจอยากจะตอบว่า “โง่ ก็เห็นอยู่ว่าไม่ได้ทำอะไร”

แต่ก็คร้านจะทำให้เสียบรรยากาศ เพียงปลดหมวกออกแขวนบนตะปู ดึงผ้าขาวม้าออกตาม

“เพิ่งกลับมาหรือคะ”

อยากจะหลับตาลง เพื่อรวบรวมใจให้นิ่ง ก่อนจะเผลอตวาดออกไปว่า

“จะถามอะไรโง่ๆ นักหนา!”

แต่ก็เพียงถอนใจ ทรุดนั่งลงบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ถุน หันหน้าหาถนน เห็นดอกบานบุรีสีเหลืองพันรั้วสะพรั่ง

ก่อนจะเอี้ยวดูเด็กหญิง

“มานั่งนี่สิ” ตบมือข้างตัว “ปิมมีอะไร”

“พรุ่งนี้ยายจะไปแม่แตงอีกแล้วค่ะ” เด็กผมขอดกระซิบกระซาบ

“อ้อ”

“พี่จะ…ได้ไปนอนกับปิม”

“เดี๋ยวดูก่อนนะ”

เด็กผมขอดเบิกตา ราวไม่เชื่อหูตัวเอง

“…พี่”

“ก็เดี๋ยวดูกันอีกที” ฉันยังคงพูดต่อ ทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกยังไง

“…พี่เป็นอะไรไปคะ”

“ไม่ได้เป็นอะไร” แล้วฉันก็ลุกขึ้น คราวนี้ไม่ปิดบังสีหน้าแสดงความรำคาญใจ “ปิมอย่าเพิ่งเซ้าซี้พี่มาก เพิ่งกลับมาจากงานเหนื่อยๆ ไปอาบน้ำก่อนนะ”

แม่เดินลงมาจากข้างในตัวบ้าน หยุดยืนที่หัวบันได สายตาเพ่งมาทันทีทันใด

ฉันไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วในตาแม่บอกเรื่องอะไร ความคิด? ความรู้สึก? หรือเป็นแค่ภาพลวงของอุโมงค์ลึกที่ฉันฝันเห็น

แต่ที่แน่ๆ ฉันคงเป็นคนใจร้ายอีกครั้ง

 

ในห้องสี่เหลี่ยมฝาไม้ ที่มีหน้าต่างหนึ่งบานเปิดออกไปสู่ทิศตะวันตก มองออกไปจะเห็นบ้านไม้ยกสูงอีกหลังฝั่งตรงข้าม กับต้นมะขามสูงใหญ่ มีต้นไม้อีกสองสามชนิดข้างรั้ว หนึ่งคือมะม่วงแก้วกับมะม่วงสามปี

ยังมีฝนหล่นลงมา แม้ว่าตะวันใกล้จะลับลงแล้วทุกขณะ ในไม่ช้าท้องฟ้าก็จะมืดลง

เด็กผมขอดคงกลับบ้านไปด้วยความเสียใจ แววตานั้นบอกให้รู้ อะไรที่อยู่ในอกเด็กหญิง

ฉันเหยียดขาออกยาว หลังพิงผนัง ทอดตาผ่านบานหน้าต่าง ก่อนจะหยิบกระดาษสมุดข้างๆ ขึ้นมาอ่านสิ่งที่ตัวเองเขียนไว้

 

[แพรวพลอย ชื่นใจ นางฟ้า…ฉันอยากจะเล่าให้พวกเธอฟังจัง

บางครั้ง ก็คิดว่าตัวเองมีความหวัง บางครั้งฉันยังแอบคิดว่าตัวเองมีความรัก

รู้ไหม ฉันได้รู้จักใครอีกสองคน ผู้หญิงผมสั้นกับผู้หญิงผมยาว คนหนึ่งผิวขาว อีกคนผิวสีน้ำผึ้ง ทั้งคู่ดูเหมือนคนรักกัน ซึ่งนั่นแหละทำให้ฉันอยากจะรักเสียด้วยทั้งสอง

บางวันฉันก็เฝ้ามองคนผมสั้น บางวันฉันก็มองคนผมยาว

หลายครั้งฉันก็นึกอยากกอดคนตัวขาว หลายหนฉันก็นึกอยากกอดคนร่างเล็กปราดเปรียว

แต่ถึงที่สุด ฉันก็ตระหนักแค่ความโดดเดี่ยว ไม่เคยมีใครสำหรับฉันหรอก]

 

“พี่…พี่!!”

“โอ้ย !!!…เรียกอะไรนักหนา!”

แดดจัดจ้าเหมือนทุกๆ วัน แผดแสงจ้าปานจะเผาหัวไหม้ จนมือที่จับด้ามจอบชื้นเหงื่อและคราบไคล ผ้าขาวม้าคลุมใบหน้า ต้องกระชากออกเพื่อจะพูดให้ถนัดขึ้น

“มีอะไรหวาน!”

“เอ้อ…เธอฟันโดนสายยางแล้ว”

มองตามมือชี้ บนท้องร่องมีสายยางขนาดใหญ่สำหรับรดน้ำต้นกล้า ถูกคมจอบฟันซ้ำๆ เกือบขาด…เพิ่งรู้สึกตัว ถึงว่า นึกว่าดินแถวนี้เหนียวเหลือทน

“แล้วก็พักเที่ยงแล้วนะ ไปกินข้าวกันเถอะ”

“พี่ทำมาเผื่อ”

ใบตองนึ่งห่อทบมุม กลัดด้วยไม้เหลาประณีต วางลงบนแคร่ เพื่อนชะงักมือที่กำลังคีบผัดผักเข้าปาก ตัวฉันเองเงยหน้า

ผู้หญิงผมยาวยิ้มสวย นั่งลงใกล้ๆ

“แกะกินได้เลย เผ็ดนิดนึงดับคาว”

ชะโงกดู ในห่อใบตองคือปลาซิวเล็กๆ เรียงเป็นแพพูน เนื้อแน่นลออด้วยขมิ้นเคลือบบางๆ กลิ่นตะไคร้ กระเทียม พริกสดที่โขลกปนกันหยาบๆ ลอยเข้าจมูก ยังมีใบแมงลักโรยหน้า

“ปลาหาเอง ทุกอย่างทำเอง” สาวสวยพูด “กินเยอะๆ หน่อยนะ จะได้มีเนื้อมีหนังกว่านี้ หวานด้วย”

“กินอีกๆ”

เสียงมาก่อนตัว ไม่ถึงนาที อีกร่างเปรียวก็พรวดเข้ามา

“เบาๆ”

คนผมยาวปราม รวบเอวอีกฝ่ายไว้อย่างคุ้นเคย หวานอ้าปากค้าง ดูผู้หญิงผมสั้นนั่งซ้อนตักคนผมยาว

ผิวสีน้ำผึ้งโอบแขนข้างหนึ่งรอบคอพี่สาว อีกข้างยื่นหาห่อปลา

เสียงเพียะดังเบาๆ

“ล้างมือหรือยัง…ฝันนี่”

ถูกตีเบาๆ ที่มือ แต่ยังทำไม่รู้ไม่ชี้ คนชื่อจอมฝันส่งปลาเข้าปาก แลบลิ้นเลียปลายนิ้วตัวเอง และส่งสายตามายังฉัน ซึ่งพยายามจะทำเหมือนไม่เห็นมัน…ทั้งหมด

“อ้าว! อิ่มแล้วหรือพี่”

หวานร้องทัก เมื่อเห็นฉันผละจากวงข้าว ปัดมือกับขากางเกง

“ยังไม่ได้ชิมปลาเลย” เสียงนุ่มนวลดังแทรก

 

ในเพิงพักกลางทุ่ง โอ่งสีส้มวางบนร้านไม้ไผ่มุงใบตอง กระบวยสองสามอันแขวนข้างเสา เมื่อยืนจ้วงน้ำดื่ม เงยหน้าขึ้นจะเห็นภูเขาโอบล้อม ในจุดนี้แต่ละวัน ท้องฟ้าไม่เคยเหมือนเดิม

…เคยมีบางวัน มายืนกินน้ำ ดูนกสีขาวโบยปีกบินผ่าน

อยากจะเป็นอย่างนั้น…อยากไปได้เช่นนั้น

“ขอกินด้วยซี”

จู่ๆ ก็มีมือยื่นมาแย่งกระบวยตักน้ำ

…ค้าง…นั่นเป็นภาพที่ตกค้างนับพันๆ ครั้งในความทรงจำ บ่ายที่ร้อนอบอ้าวกับอารมณ์สับสน จับต้นชนปลายไม่ติด มีทั้งความหงุดหงิด กังวล จนถึงความรู้สึกอันไม่อาจนิยาม ไม่อาจแยกแยะได้

ไม่รู้เอาเสียจริงๆ อะไร? ที่ถักไขว้ในห้วงความนึกคิด

“…เดี๋ยวพี่โสมว่านะคะ”

แค่ส่งเสียงตอบออกไป

“ว่าอะไร?”

น้ำในกระบวยหกลงพื้นหมดแล้ว คนนุ่งผ้าถุงยันแขนกับร้านน้ำไว้ และในท่านั้น เหมือนฉันตกอยู่ในอ้อมแขน