ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 14 - 20 ตุลาคม 2559 |
---|---|
คอลัมน์ | วิช่วลคัลเจอร์ |
เผยแพร่ |
Ida เป็นหนังที่ “นิ่ง” มาก ผู้กำกับฯ คือ ปาเวล ปาวลีคอฟสกี เป็นชาวโปแลนด์ที่อพยพมาที่อังกฤษนานแล้ว เขาเริ่มต้นจากทำหนังสารคดี ก่อนหันมาทำ Last Resort (2000) และ My Summer of Love (2004) เคยกลับมาทำหนังที่บ้านเกิด คือ La femme du V?me (2011)
แต่ละช็อตเหมือนเอาภาพนิ่งหลายๆ ภาพมาเรียงต่อกัน และระหว่างช็อตก็ไม่มีเพียงเวลาหรือความเงียบที่ว่างเปล่า
เทคนิคนี้กระตุ้นผู้ดูให้เลิกใช้คุณค่าดั้งเดิมมาตัดสิน และใส่ความรู้สึกนึกคิดของตนลงไปแทน
การจัดองค์ประกอบภาพทำให้นึกถึงหนังอาร์ตสมัยก่อน เช่น ให้จุดสำคัญของภาพหล่นไปอยู่ด้านล่างของจอ หนังมีทั้งความขาว-ดำและการตัดต่อแบบ คาร์ล ธีโอดอร์ ดรายเออร์ บวกกับ โรแบร์ต เบรสซง การเล่าเรื่องแบบ ฟรองซัวส์ ทรุฟโฟต์ และสัดส่วนของจอแบบหนังโปแลนด์ในช่วง 1960s (แถมยังให้เรื่องเกิดขึ้นในยุคนั้น) นอกจากนั้น การใช้ไฟดวงเดียวหรือแสงจริง ยังทำให้บางครั้งใบหน้าดูมืดหรือท้องฟ้าสีเทาดูกดดันจนเกินพอดี
ความนิ่งทำให้การเคลื่อนไหวทวีความสำคัญ
ในฉากที่มีบทสนทนา การขยับกล้ามเนื้อของนักแสดงเพียงนิดเดียวอาจจะสร้างความหมายของทั้งฉาก
ดนตรีประกอบแทบจะไม่มี ถ้าจะมีโมซาร์ต, บาค และโคลแทรน แทรกเข้ามา ก็เป็นเสียงจริงที่มาจากวิทยุหรือร้านอาหาร เสียงประกอบอื่นๆ เช่น ช้อนกระทบกันในโรงอาหารของวัด ช่วยให้บรรยากาศ เช่น ทำให้รู้สึกถึงชนบทและเน้นความน่าเบื่อของชีวิตที่นั่นให้เด่นขึ้นมา
นอกจากนั้น เพลงของโคลแทรนยังบอกการมาของแจ๊ซ ซึ่งหมายถึงการหลุดออกจากยุคสตาลินและการเริ่มต้นของปัจจุบัน
เพียงเท่านี้ก็อาจจะทำให้ผู้นิยมหนังอาร์ตชอบได้
หนังยาวเพียงแปดสิบนาที แต่จะรู้สึกว่าช้ามาก การออกซักถามหลายคนในหมู่บ้านและการพูดคุยของทั้งสองจบลงอย่างง่ายๆ ผลคือความล้มเหลว ซึ่งก็คล้ายกับการแสวงหาในชีวิตจริง
สิ่งที่ทั้งสองค้นพบไม่ช่วยคลี่คลายความเจ็บปวด ที่ได้กลับมาอาจจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างกันเท่านั้น
ศรัทธาของอีด้าถูกทดสอบ ประสบการณ์ของวันด้าถูกตั้งคำถาม ระหว่างทาง วันด้าหยอกล้ออีด้าเกี่ยวกับชีวิตจำเจในหมู่บ้านเล็กๆ และประสบการณ์เรื่องเซ็กซ์ของเธอ
แต่ที่สำคัญ ก่อนออกเดินทาง เธอถามว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราออกค้นหาพระเจ้าแล้วพบว่าไม่มีอยู่จริง?
สิ่งที่อีด้าต้องเอามาทบทวนคือชีวิตของวันด้าและของตนเองในวัด ซึ่งล้วนสะท้อนภาวะของ “การไม่จำ” ที่ครอบงำสังคม วันด้าหมกมุ่นกับความเป็นยิวและความเป็นเหยื่อของตน รวมทั้งทำหน้าที่พิพากษาผู้อื่น ซึ่งบางครั้งก็เกินเลย และถ้าพระเจ้าของวันด้าคือความสงบทางจิตใจ เธอก็หาไม่พบ
สำหรับชีวิตในอดีตของอีด้า การให้อภัยหมายถึงการไม่จดจำ การครองตัวอย่างสงบและบริสุทธิ์ของแม่ชี ถูกมองว่าดำเนินมาได้ด้วยการปฏิเสธความจริง พระเจ้าของคริสเตียนกลายเป็นผู้ที่เพิกเฉยต่อความทรมานของคนต่างศาสนา
ทั้งสองแนวทางไม่น่าจะนำมาสู่อะไร นอกจากภาวะความ “อิหลักอิเหลื่อ” ต่ออดีตและความจำ
นอกจากนั้น ภาวะนี้ยังดำรงอยู่ในสังคม โปแลนด์เป็นประเทศคาทอลิก ที่ชอบบอกคนอื่นๆ อยู่เสมอว่าตนเองเป็นเหยื่อของทั้งนาซีและโซเวียต แต่ในขณะเดียวกันก็พยายามลืมว่าเคยร่วมมือกับสองชาตินั้น
โปแลนด์ผ่านการปกครองหลายรูปแบบรวมทั้งการลงโทษผู้ทำผิดหลายฝ่าย แต่จะสะสางกี่ครั้ง ก็ยังไม่ได้ยอมรับความจริงทั้งหมด อาชญากรรมที่ก่อขึ้นแต่ถูกกลบเกลื่อนยังมีอีกมากมาย และ ทำให้ผู้คนอยู่ในภาวะอิหลักอิเหลื่อ
หนังจะเฉลยในตอนกลางเรื่องว่า ฆาตกรคือชาวบ้านผู้ให้ความช่วยเหลือแก่พ่อแม่ของอีด้า ซึ่งก็คล้ายภาวะของ คนในชาติยุคนั้น คือบางส่วนได้รุมฆ่าชาวยิว แต่บอกว่าทำไปด้วยความกลัวหรือเพื่อเอาตัวรอด
และนอกจากจะประกาศไม่รับผิดชอบต่ออาชญากรรม ยังขอให้สองสาวลืมเรื่องนี้เสีย
หลังจากปูพื้นไว้แต่ต้นเรื่องแล้วว่าอีด้าเป็นเด็กสาวแสนบริสุทธิ์ และด้วยการประกอบสร้างชีวิตในคอนแวนต์ด้วยภาพต่างๆ ในหลายแง่มุม หนังดูเหมือนจะเข้าข้างการให้อภัยและลืมให้ลง
แต่ถ้ามองให้ลึกลงไป ด้วยโคลส-อัพใบหน้าที่เรียบเฉยและอาการที่แสนสำรวม หนังจะบอกด้วยว่าเธอไม่ได้เป็นเพียงสามเณรี แต่เป็นนักบุญตัวจริง ต่อมา ทั้งๆ ที่โลกเก่าได้พังทลายและศรัทธาเดิมได้ล่มสลายลงไปแล้ว เธอก็ยังสามารถทำกิจวัตรต่างๆ ในแต่ละวันได้อย่างปกติ ไม่ว่าจะเป็นการเช็ดโต๊ะ ต้มน้ำ ทำความสะอาดวัด แบกพระรูป สวดมนต์ รวมทั้งช่วยประคองวันด้าให้ยืนขึ้นมา
หลังจากที่ได้สัมผัสความจริงและชีวิตทางโลกย์ นักบุญคนนี้จะเลือกชีวิตแบบไหน?
จะแค่ปลงอาบัติแล้วกลับไปบวชชีดังที่เคยฝัน?
ในฉากสุดท้าย เธอเดินกลับไปสู่ชนบท ทางเดินทอดสายไปยาว แต่ไม่มีอะไรบอกว่าจะไปสู่ที่ใด
Ida ไม่ใช่เพียงหนังที่เกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่เกี่ยวกับตัวตนและความทรงจำ
หนังเรื่องนี้แตกต่างกับ The Shindler’s List หรือ Sophie Scholl : The Final Days
เพราะสิ่งที่ตัวละครทำคือนั่งฟัง แทบจะไม่ได้ประกอบวีรกรรมใดๆ
แต่ด้วยการอ้างว่าเป็นหนังอาร์ต จึงถือสิทธิในการซ่อนความหมายต่างๆ ไว้ภายใต้คำว่า “กำกวม” ความลึกลับในสีหน้าและพฤติกรรมของอีด้าส่งผลในตอนท้าย
เสียงหัวเราะเบาๆ และสายตาที่มองแม่ชีคนอื่นๆ ชวนให้คิดว่า แม้จะไม่ทิ้งชุดนักบวช เธอก็น่าจะยอมรับความจริง และปฏิเสธการดำเนินชีวิตตามครรลองเดิม
าถามที่ตามมาคือ “แล้วไง?” หรืออะไรเป็น “ทางออก” ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน หนังบอกเพียงว่าชีวิตที่เหลือดำเนินไปได้หลายแบบ ไม่ว่าจะใช้หรือทำลาย, ให้อภัยหรือจดจำ และเรียนรู้หรือหมกมุ่นไปตลอดชีวิต
สิ่งที่อีด้าค้นพบ ไม่ใช่แค่ความตายของพ่อแม่
แต่เป็นความจริงที่ว่าอดีตสามารถถูกอธิบายหรือปิดบังได้หลายวิธี
ถ้าจะปรองดองกับมัน การตั้งคำถามอาจจะมีความสำคัญและใช้ความกล้าหาญมากกว่า