ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 6 - 12 กรกฎาคม 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
“ในที่สุดสงครามเกาหลีจะถูกรับรู้ว่าเป็นหนึ่งในสงครามที่เลวร้ายที่สุด และเป็นหนึ่งในสงครามที่สำคัญที่สุดของศตวรรษที่ 20”
Bruce Cumings
The Korean War : A History
หากพิจารณาจากบริบทของประวัติศาสตร์สงครามแล้ว คงไม่ผิดนักที่จะกล่าวว่า ศตวรรษที่ 20 เป็น “ศตวรรษแห่งสงคราม” เพราะศตวรรษนี้ไม่เพียงจะมีสงครามโลกถึงสองครั้ง แต่ยังมีสงครามอื่นที่ใหญ่และมีนัยสำคัญในการเมืองโลก
ไม่ว่าจะเป็นสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม และสงครามตะวันออกกลาง เป็นต้น
แต่ละสงครามในศตวรรษนี้เต็มไปด้วยความรุนแรงและการทำลายล้างขนาดใหญ่ และในแต่ละสงครามก็เต็มไปด้วยชีวิตของทหารและพลเรือนจำนวนมากที่ต้องสูญสิ้นไปกับสงคราม
แน่นอนว่าในบริบทเช่นนี้ สงครามเกาหลีมีนัยสำคัญกับโลกสมัยใหม่ เพราะเป็นสงครามใหญ่ครั้งแรกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นสงครามครั้งแรกที่รัฐมหาอำนาจในเวทีโลกเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์
อีกทั้งสงครามนี้ยังเป็นหนึ่งในจุดเริ่มต้นของสงครามเย็นในเอเชีย… และเป็นจุดสุดท้ายของสงครามเย็นที่ยังไม่ยุติในการเมืองโลกอีกด้วย
เมื่อสงครามยังไม่จบ!
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ปัญหาการจัดเรื่องการปกครองพื้นที่ของคาบสมุทรเกาหลีเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญทางการเมืองในเอเชีย ในวันที่ 10 สิงหาคม 1945 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้กำหนดแนวเส้นแบ่งทางภูมิรัฐศาสตร์เพื่อใช้ในการปลดอาวุธของกองทัพญี่ปุ่นที่เส้นขนานที่ 38
เส้นนี้จะแบ่งภารกิจระหว่างกองทัพสหรัฐกับกองทัพสหภาพโซเวียตในภารกิจดังกล่าว
และต่อมาเส้นดังกล่าวได้กลายเป็นเส้นแบ่งทางการเมืองในการจัดตั้งรัฐบาลภายใต้การสนับสนุนของรัฐมหาอำนาจแต่ละฝ่าย
และที่สำคัญ เส้นที่ 38 ได้มีสถานะของเส้นแบ่งทางอุดมการณ์ระหว่างค่ายตะวันตกและตะวันออก
เท่าๆ กับที่แบ่งเกาหลีออกเป็นสองส่วนในทางการเมืองการปกครองด้วย
หลังจากการปลดอาวุธกองทัพญี่ปุ่นแล้ว กองทัพแดงโซเวียตได้ถอนตัวออกจากเกาหลีในภาคเหนือในปี 1948 และสหรัฐถอนออกเช่นกันในปี 1949
ต่อมาในปี 1950 จีนก็เปลี่ยนแปลงการปกครองพร้อมกับการขึ้นสู่อำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์
และขณะเดียวกันโซเวียตก็ประสบความสำเร็จในการเป็นรัฐมหาอำนาจนิวเคลียร์ในปี 1949
การผูกขาดอำนาจนิวเคลียร์ไม่ได้เป็นของสหรัฐแต่เพียงฝ่ายเดียวอีกต่อไป ในขณะนั้นความกังวลด้านความมั่นคงของสหรัฐอยู่กับการขยายอิทธิพลของโซเวียตในยุโรป การคงกำลังรบของสหรัฐในเอเชียในยุคหลังสงครามโดยเฉพาะบนคาบสมุทรเกาหลีไม่ได้มีความเข้มแข็ง และกองทัพเกาหลีใต้เองก็ไม่ได้มีความเข้มแข็งเช่นกัน
และเชื่อกันว่าผู้นำเกาหลีเหนือน่าจะได้รับสัญญาณการสนับสนุนจากโซเวียตให้เปิดการโจมตี บนเงื่อนไขที่จีนจะให้การสนับสนุนทางทหารด้วย
สงครามเกาหลีเริ่มขึ้นในเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่ 25 มิถุนายน 1950 กองทัพของเกาหลีเหนือเปิดการรุกข้ามเส้นขนานที่ 38 อย่างรวดเร็ว กองทัพสหรัฐอเมริกาและกองทัพเกาหลีใต้ไม่ได้มีความเข้มแข็งเพียงพอที่จะรับมือกับการโจมตีที่เกิดขึ้น
แต่ในที่สุดสหประชาชาติภายใต้การผลักดันของสหรัฐได้ตัดสินใจเข้าแทรกแซง จนกลายเป็นสงครามใหญ่ครั้งแรกหลังจากการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2
และสงครามนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญประการหนึ่งของพันธะด้านความมั่นคงของสหรัฐในเอเชีย
และถือว่าเป็นบททดสอบนโยบายและยุทธศาสตร์ของสหรัฐต่อเอเชีย โดยเฉพาะสหรัฐมองว่าได้สูญเสียจีนไปแล้ว สหรัฐจะไม่ยอมสูญเสียเกาหลีอีก
ท่ามกลางความรุนแรงของสงครามนี้ มีความพยายามอย่างมากที่จะหาทางยุติการรบที่เกิดขึ้น และสงครามจากเดือนกรกฎาคม 1951 จนถึงกรกฎาคม 1953 เป็นการรบในแบบตรึงอยู่กับที่คล้ายกับสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่ก็เปิดโอกาสให้การเจรจาสันติภาพสามารถเกิดขึ้นได้
จนในที่สุดการเจรจาหยุดยิง (Armistice) ก็เกิดขึ้นที่หมู่บ้านปันมุนจอมในวันที่ 27 กรกฎาคม 1953…
การรบจบ แต่สงครามยังไม่จบ!
สงครามกำลังจะจบ?
การหยุดยิงยุติศึกในสงครามเกาหลีเช่นนี้ไม่ใช่ “สัญญาสันติภาพ” ที่จะมีนัยถึงการยุติสงครามเพราะเป็นเพียงการหยุดยิง
ฉะนั้น จึงต้องถือว่าสงครามเกาหลีในปี 1950 จนถึงปัจจุบันนั้น ยังไม่สิ้นสุดลงแต่อย่างใด
และขณะเดียวกันก็เห็นถึงความตึงเครียดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ดังจะเห็นได้ว่าเส้นขนานที่ 38 ได้ถูกกำหนดให้เป็น “เขตปลอดทหาร” ซึ่งโดยภาษาแล้วน่าจะมีความหมายว่า เป็นพื้นที่ที่ปลอดจากการวางกำลังรบ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขตปลอดทหารเป็นเขตที่มีความพร้อมรบทางทหารมากที่สุดของทั้งสองฝ่าย
และเป็นพื้นที่ที่มีความเปราะบางอย่างมาก
อีกทั้งความตึงเครียดยังเป็นผลการเผชิญหน้าทางทหารทั้งในรูปของสงครามตามแบบ และสงครามนิวเคลียร์
อันเป็นผลจากการทดลองและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือที่เกิดมาโดยตลอด จนในภาวะปัจจุบันเชื่อกันว่าเกาหลีเหนือมีหัวรบนิวเคลียร์และขีปนาวุธนิวเคลียร์ข้ามทวีปแล้ว และอาจจะต้องยอมรับในความเป็นจริงว่าเกาหลีเหนือได้มีสถานะเป็น “รัฐนิวเคลียร์” แล้ว
ความสำเร็จทางด้านนิวเคลียร์เช่นนี้ ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวลว่าความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีในปัจจุบันจะยกระดับกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์ได้
แม้สงครามนิวเคลียร์ดูจะเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือจินตนาการก็ตามที แต่ปัจจัยจากบุคลิกของผู้นำทั้งสหรัฐ (ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์) และเกาหลีเหนือ (ประธานาธิบดีคิมจองอึน) ในปัจจุบัน ทำให้ปัญหาสงครามนิวเคลียร์บนคาบสมุทรนี้เป็นสิ่งที่จะมองด้วยความประมาทไม่ได้
ดังนั้น จึงไม่แปลกนักที่สถานการณ์ “วิกฤตนิวเคลียร์เกาหลี” ในช่วงปี 2017 จะเป็นความกังวลชุดใหญ่ทั้งในเอเชียและในโลก
และเริ่มมีการเตรียมรับภัยจากการโจมตีด้วยอาวุธนิวเคลียร์ เช่น ในญี่ปุ่นและในฮาวาย เป็นต้น
แต่สถานการณ์ในปี 2018 กลับมีทิศทางที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
จนเป็นดัง “ฤดูใบไม้ผลิ” บนคาบสมุทรเกาหลี นับจากกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวในเดือนกุมภาพันธ์
การพบระหว่างผู้นำสูงสุดของสองเกาหลีในเดือนเมษายน (เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี)
และที่สำคัญคือการพบระหว่างผู้นำสูงสุดสหรัฐ-เกาหลีเหนือที่สิงคโปร์ในเดือนมิถุนายน (เป็นครั้งแรกหลังจากการหยุดยิงในปี 1953) และเป็นครั้งแรกที่ผู้นำเกาหลีเหนือข้ามเส้นขนานที่ 38
แม้จะเป็นภาพเชิงสัญลักษณ์ก็ตาม
สามเหตุการณ์ใหญ่เช่นนี้บ่งบอกถึงแนวโน้มใหม่
แม้จากการประชุมที่สิงคโปร์จะยังไม่มีการลงนามในสัญญาสันติภาพ แต่การตกลงที่จะทำลายอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ (denuclearization) ก็จะต้องถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เกิดภูมิทัศน์ความมั่นคงใหม่
จนเป็นเสมือนกับจุดเริ่มต้นของ “การยุติสงครามเย็น” บนคาบสมุทรเกาหลี แม้จะมีข้อถกเถียงว่ากระบวนการทำลายอาวุธนิวเคลียร์จะมีรายละเอียดและขั้นตอนที่ยุ่งยากอีกพอสมควรก็ตาม
ถ้าสงครามจบ!
อย่างไรก็ตาม ผลจากการที่สงครามเกาหลีไม่ได้ยุติลงอย่างเป็นทางการนั้น ทำให้คาบสมุทรเกาหลีกลายเป็น “พื้นที่สงคราม” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
และรูปธรรมของสถานะเช่นนี้ก็คือ การคงกำลังรบขนาดใหญ่ไว้ในพื้นที่ดังกล่าว ดังจะเห็นได้ว่า ไม่เพียงแต่จะมีกองทัพเกาหลีเหนือ และเกาหลีใต้เท่านั้น หากแต่ยังมีกองทัพสหรัฐในเกาหลีใต้ และในพื้นที่ใกล้เคียงคือญี่ปุ่นอีกด้วย
ดังนั้น หากตรวจสอบดุลกำลังบนคาบสมุทรเกาหลีแล้ว จะเห็นภาพเชิงเปรียบเทียบอย่างสังเขป
กองทัพเกาหลีเหนือ
– กำลังพลรวม 1,190,000 นาย (กองทัพบก 1,020,000 กองทัพเรือ 60,000 กองทัพอากาศ 110,000)
– กำลังรบทางบก ได้แก่ รถถังหลัก 3,500 คัน รถถังเบา 560 คัน ปืนใหญ่ 21,100 กระบอก
– กำลังรบทางเรือประกอบไปด้วยเรือดำน้ำติดขีปนาวุธ 1 ลำ เรือดำน้ำ 72 ลำ เรือฟริเกต 2 ลำ
– กำลังรบทางอากาศ ได้แก่ เครื่องบินทิ้งระเบิด 80 เครื่อง เครื่องบินรบ 465 เครื่อง
กองทัพเกาหลีใต้
– กำลังพลรวม 630,000 นาย (กองทัพบก 495,000 กองทัพเรือ 70,000 กองทัพอากาศ 65,000)
– กำลังรบทางบก ประกอบไปด้วยรถถังหลัก 2,434 คัน ปืนใหญ่ 11,380 กระบอก
– กำลังรบทางเรือ มีเรือดำน้ำ 23 ลำ เรือลาดตระเวน 3 ลำ เรือพิฆาต 6 ลำ เรือฟริเกต 14 ลำ
กำลังรบทางอากาศ มีเครื่องบินรบ 487 เครื่อง เครื่องบินที่มีขีดความสามารถในการรบ 80 เครื่อง
สำหรับกองทัพสหรัฐอเมริกาในเอเชียนั้น ประกอบไปด้วยกำลังพลสหรัฐในญี่ปุ่น 47,050 นาย มีกำลังหลัก ได้แก่ กองทัพเรือที่ 7 (โยโกสุกะ) กองทัพอากาศที่ 5 (โอกินาวา) กองกำลังนาวิกโยธิน (โอกินาวา) ส่วนกำลังพลสหรัฐในเกาหลีใต้ มี 28,500 นาย โดยมีกำลังหลักได้แก่กองทัพบกที่ 8 (โซล) และกองทัพอากาศที่ 7 (โอซาน) นอกจากนี้ยังมีกำลังพลสหรัฐที่เกาะกวมจำนวน 5,150 นาย
จากสภาพของการคงกำลังรบดังที่ปรากฏในข้างต้นเห็นได้ชัดว่าสงครามยังไม่จบ
แต่ถ้าสถานการณ์ความตึงเครียดและการเผชิญหน้าทางทหารลดลงอย่างมาก จนไปถึงจุดที่คาบสมุทรเกาหลีจะไม่เป็น “จุดร้อน” (hotspot) ในการเมืองโลกแล้ว
สถานะด้านความมั่นคงในทางภูมิรัฐศาสตร์ของคาบสมุทรเกาหลีย่อมจะเปลี่ยนแปลงไป
ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว กำลังรบขนาดใหญ่เช่นนี้จะยังคงอยู่ต่อไปอีกหรือไม่
และยังรวมเข้ากับแนวโน้มใหม่ที่เกาหลีเหนืออาจจะยอมยุติโครงการนิวเคลียร์ของตนที่เป็นผลสืบเนื่องจากปรากฏการณ์ใหม่ที่สำคัญคือ การประชุมผู้นำสูงสุดของเกาหลีทั้งสองฝ่ายและการพบกันระหว่างผู้นำสหรัฐและเกาหลีเหนือ จนทำให้สถานการณ์ความมั่นคงบนคาบสมุทรเกาหลีกำลังเดินไปสู่ทิศทางที่เป็นบวกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ดังนั้น หากการยุติสงครามเกาหลีเกิดขึ้นจริงในอนาคต และผนวกเข้ากับแนวโน้มใหม่แล้ว ก็อาจจะนำไปสู่ภูมิทัศน์ใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลี
เกาหลีเหนือยังจำเป็นต้องคงกองทัพขนาดใหญ่ไว้อีกหรือไม่ (หากเปรียบเทียบแล้วมีขนาดใหญ่ของกำลังพลเป็นอันดับ 4 ของโลก)
เช่นเดียวกัน กองทัพเกาหลีใต้ก็มีขนาดใหญ่เช่นกัน (ลำดับ 4 ของกองทัพในเอเชีย) แต่ที่สำคัญคือ สหรัฐจะคงกำลังรบไว้ในเกาหลีใต้และในโอกินาวาต่อไปอีกหรือไม่เพียงใด
ดังนั้น หากภูมิทัศน์ความมั่นคงใหม่เกิดขึ้น พร้อมกับการลดลงของความตึงเครียดจากวิกฤตนิวเคลียร์แล้ว ยุทธศาสตร์ของรัฐมหาอำนาจที่เกี่ยวข้องก็จะเปลี่ยนไปด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสงครามเกาหลีถึงจุดเปลี่ยนแปลงจริงแล้ว ยุทธศาสตร์ของสหรัฐ จีน รัสเซีย และญี่ปุ่นจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน
และการปรับยุทธศาสตร์ความมั่นคงใหม่ของรัฐมหาอำนาจทั้งสี่ย่อมจะส่งผลกระทบต่อการเมืองในเอเชียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
อีกทั้งอาจจะนำไปสู่การปรับยุทธศาสตร์รัฐที่เกี่ยวข้องโดยตรงทั้งสองได้แก่เกาหลีเหนือและใต้อีกด้วย ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จึงเป็นความหวังว่า “ฤดูใบไม้ผลิ” กำลังเริ่มเบ่งบานบนคาบสมุทรเกาหลี และขณะเดียวกันพื้นที่สงครามก็กำลังจะเปลี่ยนเป็น “คาบสมุทรแห่งสันติภาพ”
และทุกฝ่ายก็หวังว่าสิ่งนี้จะเป็นความจริงมากกว่า “ความฝัน” ชั่วครั้งชั่วคราว!
หมายเหตุ : กำลังรบเชิงเปรียบเทียบ
การจัดขนาดกองทัพของโลก 5 ลำดับแรก ได้แก่ ลำดับ 1 กองทัพจีน ลำดับ 2 กองทัพอินเดีย ลำดับ 3 กองทัพสหรัฐ ลำดับ 4 กองทัพเกาหลีเหนือ ลำดับ 5 กองทัพรัสเซีย
การจัดขนาดกองทัพในเอเชีย 5 ลำดับแรก ได้แก่ ลำดับ 1 กองทัพจีน ลำดับ 2 กองทัพเกาหลีเหนือ ลำดับ 3 กองทัพปากีสถาน ลำดับ 4 กองทัพเกาหลีใต้ ลำดับ 5 กองทัพเวียดนาม
(ตัวเลขกำลังพลและจำนวนอาวุธในบทความนี้ อ้างจาก IISS, Military Balance 2017)