ทวีปที่สาบสูญ : แสงวิบวับที่กล่นเกลื่อน

แพรวพลอย…ชีวิตลอยไป

ชื่นใจ…ฉันคงไม่ได้กล่าวลา

“ถึงแล้ว”

น้ำเสียงนั้นฟังร่าเริง ยินดีปรีดาเหมือนกับว่ามาธุระตัวเอง ฉันวาดขาลงจากรถเครื่อง ฉับพลันทันใด รู้สึกเหมือนตัวเองเติบโตขึ้นอีกหลายปีในบัดนั้น

หรืออาจจะเป็นเช่นนั้น เมื่อลงไปยืนยืดตัวอยู่ข้างรถที่ดับเสียงลง เด็กสาวแปลกหน้าแหงนหน้ามาหา ใบหน้าแย้มยิ้ม ตาใสกระจ่าง

เธอช่างสวยเหลือเกิน

มันมีอะไรมากมายในตาคู่นั้น เช่นเดียวกับที่ฉันเคยเห็นมันในตาของชื่นใจ…และในตาของแพรวพลอย พวกเธอเหล่านี้ ช่างมีหัวใจที่ร่มรื่นกว้างขวาง มีละอองน้ำค้างหยาดเย็น มีกระทั่งระริกไหลของกระแสน้ำในลำธาร…ฉันรู้สึกอย่างนั้น

“มีอะไร!” เสียงร้องถาม ฟังก็รู้ว่าแกล้งขึ้นเสียง “มองหน้าทำไม!”

ฉันรู้สึกว่า…อยากจะยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก ในห้วงเวลาเนิ่นนานที่ผ่านมา

ผู้หญิงคนนี้มีอะไรในตัว? ทำให้ฉันรู้สึกเช่นนี้ได้ แม้ในยามที่บาดแผลภายในยังคงปริฉีก

…ฉันยังคงแตกสลาย

“พี่น่ารักชะมัดเลย” คำพูดหล่นออกไป

เด็กสาวเบิกตา เหมือนคำพูดของฉันเป็นของน่าอัศจรรย์ ไรผมข้างหูไหวน้อยๆ ตามลมที่เป่าพัดมา ฉันนึกอยากจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ดั่งเหมือนในหนังสือนิยาย

อยากจะยื่นหน้าเข้าไปจูบหอมกลีบกุหลาบระเรื่อนั้นแต่เบาๆ

…สลัดหัว คิดอะไรเลื่อนเปื้อนไปได้อีพี่! เลิกเสียทีเถอะ นิสัยอย่างนี้ ยังหาเรื่องใส่ตัวไม่พอหรือยังไง!

มีคนเดินออกมาจากในสวน

“มาหาใคร!”

เด็กสาวเหลียวดูฉัน

รีบควักกระดาษออกจากกระเป๋า

“เอ้อ…มาหายายปัน…แม่ปาเขาให้ที่อยู่มา”

“อ๋อ” ชายผมขาวพยักหน้า “เข้าไปเลย อยู่นั่นแหละ”

เด็กสาวจูงรถเครื่องเข้าแอบข้างรั้ว ถามขึ้นว่า “จะให้เข้าไปด้วยก่อนมั้ย”

ไม่ทันได้ตอบอะไร เด็กสาวก็พูดอีกว่า

“เผื่อถ้าเขาไม่รับ จะได้กลับไปด้วยกัน”

ถ้าฉันเป็นดินที่แตกระแหง ถ้อยคำนั้นก็คือฝนหนาหนักที่ชโลมลงสู่ทุกร่องรอยผิวเนื้อหัวใจ มันเกินความคาดหมายว่าจะได้ยินจากใครสักคนหนึ่ง โดยเฉพาะ…คนที่ไม่เคยมีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ ในชีวิตกันและกันมาก่อน

จริงๆ แล้วพี่ฝนก็ดีกับฉัน เหมือนปู๊เมีย และเหมือนพี่จู แต่สมองโง่เขลาของตัวฉันเองก็สุดรู้

ทำไม ฉันรู้สึกกับแต่ละคนไปแตกต่างกัน

“มาหาใคร!”

เสียงร้องถามอีก ประโยคเดียวกับที่ได้ยินก่อนหน้า ราวว่าในสวนแห่งนี้มีคนอยู่มากหน้าหลายตา หรือก็เป็นเช่นนั้น ท่าจะมีคนเข้าออกอยู่ตลอดเวลา ดูจากเห็นคนว่อบแว่บผ่านไปมา และรถกiะบะถอยเข้าออกอยู่ไกลออกไป

“…แม่ปาแนะนำมาให้”

“อ๋ออ” เสียงลากยาวทันที “งั้นก็มาใกล้ๆ ซิ”

เด็กสาวเป็นฝ่ายยิ้มกว้างเข้าไปก่อน

“สวัสดีค่ะยาย”

“อ้าว อีหนู!”

ตอนแรกที่ได้ยินคำว่า “ยายปัน” ฉันก็คิดภาพว่าคงจะเป็นแม่อุ๊ยสักคนหนึ่ง แต่ไม่ใช่เลย ผู้หญิงที่นั่งบนตั่งใต้ศาลาไม้สักหลังใหญ่ เป็นผู้หญิงผิวขาวร่างท้วม ดูมีสง่าราศี สวมเสื้อแขนกุดกับผ้าซิ่น คาดเข็มขัดเงินแวววาว และเยื้องหลังถัดไป ผู้หญิงร่างใหญ่อีกคน ผมตัดสั้นไถขึ้นเหนือหู จนดูเหมือนผู้ชายผิวคล้ำๆ หน้าดุมากกว่า

เด็กสาวเข้าไปกอดกันแน่นกับคนนุ่งซิ่น

“ยายสบายดีมั้ยคะ”

“ยายสิต้องถามเรา” ผู้หญิงผิวขาวยิ้มกว้าง จับไหล่เด็กสาว ดูซ้ายดูขวา “แล้วนี่ไปยังไงมายังไง ไม่เห็นหน้าเสียนานเลย”

“ก็จะมาได้ยังไงเล่า”

เสียงแทรกจากอีกคนด้านหลัง

เด็กสาวรีบยิ้มและยกมือไหว้

“อาล่ะคะ สบายดีไหม”

“เรื่อยๆ แหละ” เสียงตอบ ฟังน้ำเสียงก็เกือบจะคล้ายเสียงผู้ชาย หากไม่เห็นอกที่นูนใหญ่สักหน่อย ฉันเองคงดูไม่ออก

เด็กสาวหันมาทางฉันบ้าง

“น้องเขาจะมาสมัครงานค่ะ รินเลยพามา”

“อ้าว…ใครกันล่ะ ถ้าเป็นคนที่บ้าน ยายไม่เอาแล้วนะ ขี้เกียจทะเลาะกับพ่อเธอ”

“ไม่ใช่หรอกค่ะ…เอ้อ รินเพิ่งเจอน้องเขาวันนี้เอง”

ทุกสายตาเหลียวมาทางฉัน

“…เห็นแม่ปาว่า ถ้าอยากได้งานให้มาที่นี่” ฉันควักกระดาษที่มีลายมือส่งให้

ดูเหมือนบรรยากาศจะเปลี่ยนแปลงไป เริ่มจากผู้หญิงเจ้าบ้านทั้งสองเรียกให้คนรีบเอาน้ำท่ามาให้ เด็กสาวลงไปนอนเขลงเล่นบนแคร่อย่างคุ้นเคย แต่ฉันยังคงจับต้นชนปลายไม่ติด ฟังทั้งหมดพูดกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ จับความได้เพียงคร่าวๆ ว่า เด็กสาวไม่ได้อยู่ในเชียงใหม่ เธอเรียนในกรุงเทพฯ และแอบกลับมาบ้านโดยไม่บอกใคร

มันเป็นเหตุการณ์บังเอิญยิ่งนักที่ฉันได้พบกับเธอ…ระริน หรือหนูริน ที่ผู้หญิงสองคนเรียกอย่างนั้น พร้อมกันนั้น ก็ฟังคล้ายว่าพ่อของระรินกับคนในสวนนี้มีเรื่องหมางใจกันอยู่

“ถ้าพ่อรู้ว่ามาที่นี่…เดี๋ยวก็มีเรื่องกันอีก”

“รินบอกอาเยาว์ไปแล้ว”

“จะบอกไปทำไม้” ผู้หญิงผิวขาวว่า “เดี๋ยวแล่นมาถึงนี่ ขี้เกียจจะฟังเต็มที พูดมากไม่มีใครเกิน”

เด็กสาวหัวเราะ

“พ่อก็คงว่ายายน่ะพูดมากเหมือนกัน”

“เอ๊ะ จะอยู่ข้างใครกันแน่”

ฟังน้ำเสียงจะดุ แต่ใบหน้ายังยิ้มแย้ม คนที่แทบไม่เห็นรอยยิ้มเลยคือผู้หญิงคนผิวคล้ำ สวมแว่นตาดำอีกด้วย

เด็กสาวกอดเอวคนที่เรียกว่ายายอย่างสนิทสนม

“หนูรักทุกคนแหละน่า”

“ยายปัน” ซึ่งยังสาวกว่าคำเรียกมากนัก ทำท่าจะเคาะหัวให้ เด็กสาวหัวเราะเสียงใส

“น่า เอาไว้รินจะแอบมาบ่อยๆ”

“แอบยังไง บอกนังเยาว์ไปอย่างนั้น ป่านนี้ก็รู้กันแล้ว”

“ไม่เห็นเป็นไร รินมีเหตุผลนี่ มาส่งน้องเขาสมัครงาน”

ฉันยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ห่างจากทุกคนออกมา พลางอดประหลาดใจไม่ได้ เท่าที่ได้พบเห็น ดูเหมือนเด็กสาวจะคุ้นเคยกับบ้านนี้ดี จากคำพูดจาคล้ายดั่งจะเป็นญาติกัน หากยามที่เจ้าของบ้านพูดถึง “ตาแก่คนนั้น” ฟังไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไหร่

จนเมื่อบทสนทนาอื่นๆ ยุติลง แล้ววกมาถึงเรื่องของฉัน

“…มาจากไหนหรือ”

“ยายปัน” เปิดคำถามขึ้น เหมือนเคย ที่ฉันตอบออกไป

“อ้อ มาไกลนี่ ทำอะไรเป็นบ้าง”

“ทำได้ทุกอย่าง…ค่ะ”

“แล้วไปรู้จักปาเขาได้ยังไง”

“…ไปซื้อของที่ร้านค่ะ แล้วเขาให้ที่อยู่มา”

“เขาบอกอะไรอีกบ้าง”

“ไม่ได้บอกอะไรค่ะ” ฉันตอบ “พูดแค่ว่า ถ้าอยากได้เงินเพิ่ม อยากมีงานทำให้มาหานี่”

“ปามันคนใจดี” หญิงผมสั้นพูด “คงจะเวทนาเราละสิ”

ฉันนิ่ง ไม่รู้จะพูดอะไร

แค่อยากรู้คำตอบเท่านั้นว่า จะได้ทำงานหรือไม่

“แต่ช่วงนี้คนก็ยังเต็มอยู่นะ” คนผิวคล้ำพูด “เพิ่งมีมาใหม่อีกหลายคน”

“เอ้อ…แล้วที่นี่รับคนงานทำอะไร” เอ่ยถามออกไป

“อ้าว ปาไม่ได้บอกอะไรเลยหรือ” คนผมสั้นถาม แล้วสบตากันกับอีกคน

“…ไม่ค่ะ”

“คือยังงี้นะ เอ้า ปันจะพูด หรือให้พี่พูด”

“ยายปัน” ยิ้มเหยียด

“พี่พูดไปละกัน อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็แล้วแต่”

เด็กสาวเหลียวมามองหน้า ใจฉันเต้นขึ้นหน่อยหนึ่ง แต่ยังมีความหวังอยู่

“คือเราเป็นซ่องน่ะ” คนผมสั้นพูดชัดถ้อยชัดคำ “จะรับเด็กๆ อย่างพวกเธอนี่แหละมาไว้ขาย ถ้าเกิดคนไหนราคาดีก็ส่งเข้ากรุงเทพฯ ต่อ เมื่อวานก็เพิ่งส่งไปสองสามลัง”

ใจฉันหายวาบ และคงนั่งตะลึงค้างอยู่ในสายตาทุกคน

“จะทำไหวไหมล่ะ แต่มาถึงนี่แล้ว อยากได้เงินเท่าไหร่ก็เรียกมา”

“เอ้อ…ฉันไม่ได้อยากขายตัว…”

“เอ้า! ไม่อยากขายแล้วจะมาทำไม? ตั้งใจมาขนาดนี้ อยากได้สตางค์ไม่ใช่หรือ รอบละห้าสิบก็ราคาดีไม่เบา วันหนึ่งรับสักซาวรอบก็ได้แล้วพันหนึ่งนะ”

“เรื่องแขกไม่ต้องห่วง เดี๋ยวจะหามาเอง”

ยิ่งกว่าคำว่าสิ้นหวัง ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองหล่นตกลงไปในหุบเหวที่ไร้ก้นอีกครั้ง…อีกครั้ง จนกระทั่งได้ยินเสียงหัวเราะของระริน

“โอ้ย! พอแล้วค่ะอา เดี๋ยวเขาจะร้องไห้เอานะ!”

แล้วทุกคนก็หันมา พร้อมกับเสียงหัวเราะประสานกันอย่างขบขัน “ยายปัน” ถึงกับน้ำหูน้ำตาไหล

“อพิโธ่เอ๋ย แค่นี้ก็จะขวัญหนีดีฝ่อแล้ว!”

ฉันเกือบจะโกรธ แกมด้วยความอับอาย ทันทีที่รู้ว่าเป็นแค่การแกล้งหยอกล้อเท่านั้น แต่แสงวิบวับที่กล่นเกลื่อนในตาของเด็กสาวเบื้องหน้า กับเสียงหัวเราะของคนทั้งสามก็ทำให้โลกบางเสี้ยวกระเพื่อมสั่นไหว