ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 22 - 28 กันยายน 2566 |
---|---|
ผู้เขียน | พาราตีรีตีส |
เผยแพร่ |
ทุกวิกฤตล้วนส่งผลแบบสัมพันธ์กัน เช่นเดียวกับโลกที่ผ่านวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ความรุนแรงของโรคระบาดนอกจากสุขภาพของพลเมืองโลก แม้แต่ระบบเศรษฐกิจกลับหยุดนิ่งและพลิกผันอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ระบบและกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ต้องอาศัยมนุษย์เป็นตัวขับเคลื่อนหยุดนิ่ง นำไปสู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจแบบออนไลน์ที่มีบทบาทอย่างเข้มข้น
พ้นวิกฤตโรคระบาดได้ไม่นาน อีกวิกฤตก็เข้ามาแทนที่ หลายประเทศได้รับผลกระทบโดยเฉพาะเศรษฐกิจที่กระเทือนหลายประเทศ
รวมถึงจีนซึ่งก่อนหน้านี้มีการคาดการณ์ว่า หลังผ่านพ้นวิกฤต ประชาชนหลายประเทศและจีนจะออกมาใช้จ่ายแบบระบายแค้นจนทำให้เศรษฐกิจกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
จีนกลับมีอัตราการบริโภคในประเทศลดลง แม้แต่อัตรานักท่องเที่ยวที่จะออกเดินทางนอกประเทศกลับไม่เป็นตามที่คาดไว้
จนเมื่อกลางสิงหาคมที่ผ่านมา เอเวอร์แกรนด์ อสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่เบอร์ 2 ของจีน ยื่นขอล้มละลายหลังผิดนัดชำระหนี้ตามกำหนด จากที่ก่อไว้มานานเป็นปีๆ
แต่สิ่งนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งของสภาพทางเศรษฐกิจของจีนที่อาจเข้าขั้นน่าเป็นห่วง จนมีการมองแบบฉากทัศน์ร้ายสุดว่า จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ หากเศรษฐกิจจีนถดถอยอย่างรุนแรงจนถึงขั้นล่มสลาย?
แล้วระบบเศรษฐกิจโลกจะได้รับผลกระทบแค่ไหน?
การล้มละลายของเอเวอร์แกรนด์ ได้ทำให้นักวิเคราะห์มองดูบริษัทอสังหาริมทรัพย์จีนอีกหลายแห่งที่เข้าขั้นความเสี่ยงจากภาวะฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์
สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นปัจจัยทำให้เอเวอร์แกรนด์ล้มคือ รัฐบาลจีนได้บังคับใช้กฎเกณฑ์ใหม่ในการควบคุมปริมาณหนี้ของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ทำให้เอเวอร์แกรนด์ต้องเสนอขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทออกไปในราคาต่ำ เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีเงินไหลเข้ามาในการดำเนินธุรกิจต่อไปได้
ความไร้เสถียรภาพนี้ ประกอบกับที่ทางบริษัทต้องดิ้นรนหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยชำระหนี้มหาศาลที่ถืออยู่ ทำให้มูลค่าหุ้นของเอเวอร์แกรนด์ลดลงถึง 85% เมื่อปี 2021 ส่วนอันดับความน่าเชื่อถือก็ดิ่งเหว
ภาวะเศรษฐกิจจีนชะลอตัวที่ออกอาการทั้งในภาคอสังหาริมทรัพย์จนลามถึงธนาคารระดับย่อย เอาเข้าจริงก็เป็นเพราะความทะเยอทะยานของจีนเอง
จากการตัดสินใจสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติที่เจ็บหนักจากวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 และภาวะเงินทุนไหลออกอย่างหนักในปี 2015 จีนเร่งฉวยจังหวะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและส่งเสริมการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อดึงเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามา
แต่เพราะการเร่งเปิดจนโตแบบพุ่งทะยานโดยไม่ระมัดระวัง ได้ส่งผลเกิดหนี้มหาศาลและภาวะฟองสบู่ จนเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงินของจีน
ถึงต่อให้รัฐบาลจีนอัดฉีดเงินเพื่อช่วยเหลือ แต่การต้องอุ้มหลายบริษัทที่ออกอาการเจ็บหนักพร้อมกัน ก็ทำให้สถานะทางการคลังลดลงสวนทางกับยอดส่งออกลดลงจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัว
จีนจึงต้องหันพึ่งพาการบริโภคภายในประเทศ แต่มาตรการโควิดเป็นศูนย์ที่ทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจภายในประเทศชะงักงันครั้งใหญ่ ไม่สามารถชดเชยส่วนที่ขาดหายได้ทัน
จีนจึงต้องหืดจับกับภาวะชะลอตัวพร้อมกับความเชื่อมั่นในการลงทุนลดลง
แต่จีนยังไม่ทันกู้วิกฤตเอเวอร์แกรนด์พ้นขีดอันตราย “คันทรี่ การ์เด้น” คืออสังหาริมทรัพย์ใหญ่สุดของจีนก็มีข่าวขาดสภาพคล่องจนมีสัญญาณส่อผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความน่ากลัวของวิกฤตเศรษฐกิจจีนที่จะรุนแรงหากคันทรี่ การ์เด้นล้มละลายต่อเป็นอีกเจ้า
รัฐบาลจีนต้องแก้ทางทั้งการอุ้มบริษัทไม่ให้ล้มยาว พร้อมผ่อนปรนข้อจำกัดในการซื้อบ้านเพื่อบรรเทาผลกระทบ
แม้ล่าสุดคันทรี่ การ์เด้นมีโอกาสพอต่อลมหายใจได้บ้าง เมื่อ “รอยเตอร์” รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวและเอกสารที่ได้รับมาว่า จะได้รับการอนุมัติจากเจ้าหนี้ให้ขยายเวลาการชำระเงินสำหรับพันธบัตรเอกชน เพื่อบรรเทาทุกข์ครั้งใหญ่สำหรับนักพัฒนาชาวจีนที่ประสบปัญหาเช่นเดียวกับภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤต
โดยกำลังขอขยายอายุพันธบัตรเอกชนบนบกมูลค่า 3.9 พันล้านหยวน (540 ล้านดอลลาร์) เมื่อวันที่ 1 กันยายนผ่านมา
แต่นอกจากภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคธนาคารโดยเฉพาะธนาคารท้องถิ่น เผชิญอาการหนักเหมือนกัน จนหนักถึงขั้นรัฐบาลกลางออกคำสั่งไปยังธนาคารท้องถิ่นหยุดทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเพื่อรักษาสถานะของค่าเงินหยวน
บลูมเบิร์กได้รายงานบทวิเคราะห์เมื่อ 5 กันยายนที่ผ่านมาว่า สถานการณ์เศรษฐกิจจีนที่เติบโตช้าลงเช่นนี้ ทำให้ประเมินได้ว่า ไม่สามารถขึ้นแซงสหรัฐในฐานะประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ของโลกได้ แค่ในตอนนี้ และต้องใช้เวลาถึงปี 2040 หรืออีก 17 ปี ถึงทำให้ตัวเลขจีดีพีของจีนโตแซงได้
แม้แต่มูดี้ส์ ก็ได้ประกาศลดอันดับความน่าเชื่อถือภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีน จากระดับมีเสถียรภาพลงไปเป็นติดลบ อ้างเหตุผลปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังรุมเร้า ซึ่งจะส่งผลให้ยอดขายอสังหาริมทรัพย์ในจีนลดต่ำลง
มูดี้ส์ คาดว่ายอดขายบ้านในจีนจะลดลงราวร้อยละ 5 ในช่วง 6-12 เดือนต่อจากนี้ และมองว่ามาตรการกระตุ้นกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลน่าจะมีผลแค่ในระยะสั้นๆ เท่านั้น
สถานการณ์ที่ถูกรายงานออกไปทั่วโลกเช่นนี้ ทำให้โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้ออกมากล่าวถึงความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจที่จีนเจออยู่นี้ จะไม่นำไปสู่การรุกรานไต้หวันอย่างที่หลายคนกังวล โดยไบเดนอยู่ระหว่างเยือนเวียดนามเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า การเติบโตของจีนชะลอตัวเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่อ่อนแอตลอดจนนโยบายของจีน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศจีนรวมถึงสื่อรัฐบาลจีนรีบออกมาตอบโต้ทันทีว่าไม่เป็นความจริง เศรษฐกิจจีนยังคงเข้มแข็ง
แต่กระนั้น ก็เป็นเรื่องที่อดคิดไม่ได้ว่า ความปั่นป่วนเช่นนี้จะทำให้จีนยิ่งแข็งกร้าวและตัดสินใจใช้กำลังทหารบุกไต้หวันเพื่อกลบเกลื่อนปัญหาเศรษฐกิจภายในเร็วขึ้นหรือไม่
ฮัล แบรนด์ส อดีตผู้ช่วยพิเศษด้านวางแผนยุทธศาสตร์รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐช่วง 2558-2559 กล่าวว่า จีนอาจดำเนินการเชิงรุกมากขึ้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ เมื่อขีดความสามารถทางการทหารของตนเติบโตเต็มที่ ต้องรีบคว้าไว้ในขณะที่ยังมีโอกาส
นี่คือเหตุผลว่าทำไมอันตรายของสงครามบุกไต้หวันจึงสูงที่สุดในทศวรรษนี้ เนื่องจากจีนจะมีขีดความสามารถทางการทหารมากกว่าที่เคยเป็นมา ในขณะที่กำลังถึงจุดสูงสุดและเริ่มถดถอยทางเศรษฐกิจ เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา
ทั้งนี้ สถานการณ์ในจีนตอนนี้ก็เริ่มส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่พึ่งพาจีนเป็นหลัก โดยเฉพาะโซนอาเซียนอย่างลาว กัมพูชา และไทย ประเทศเหล่านี้จะพึ่งพาจีนอยู่ต่อไป หรือต้องรีบหาหุ้นส่วนใหม่แบบกระจายความเสี่ยง ยืดหยุ่นบนเป้าหมาย “ความอยู่รอดของชาติต้องมาก่อน”
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022