คนธรรพ์ “ชู้ซ้อนชู้” กากี หยามใจ “พระยาครุฑ” ว่าไม่มีใครไปวิมานสิมพลีได้

ญาดา อารัมภีร

ล่าชู้ (5)

 

ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย แต่ความจริงไม่คาดคิดทำให้ผู้ฟังตายทั้งเป็น

เมื่อพระยาครุฑมั่นใจว่าไม่น่าจะมีใครสามารถข้ามมหานทีสีทันดรไปยังวิมานสิมพลีได้ เพราะแม้แต่ตัวพระยาครุฑเองก็ยังยาก

‘แสนมหาพระยาครุฑยังเต็มบิน จึ่งล่วงสินธุถึงพิมานทอง’ นาฏกุเวรคนธรรพ์ พี่เลี้ยงท้าวพรหมทัตกลับทำลายความมั่นใจนั้นลงสิ้นด้วยวาจาท่าทีของผู้ถือไพ่เหนือกว่า โดยใช้เสียงพิณและเสียงขับร้องเพลงเป็นเครื่องมือเฉลยข้อสงสัยและประจานพระยาครุฑ หรือสุบรรณ (ผู้มีขนงาม) ไปพร้อมๆ กัน

“คนธรรพ์ครั้นฟังก็แย้มสรวล แสร้งสำรวลเยาะเย้ยเฉลยสาร

อันเวทมนต์ฤทธิไกรไม่เชี่ยวชาญ แต่จิตหาญแทรกขนสุบรรณจร

พระยาครุฑครองชู้เป็นชายเฉา มาพาเราผู้ชู้ไปสู่สมร

ราตรีปักษีเข้าแนบนอน ทิวากรเราแนบประจำนาง

ต่างชู้ต่างชื่นทุกคืนวัน แต่สุบรรณงมจิตไม่คิดหมาง

เป็นสัจจังดั่งพร้องไม่อำพราง ข้าระคางกลัวเกลือกจะมีครรภ์”

 

ความจริงจากปาก ‘ชู้ซ้อนชู้’ (ชู้ก่อนคือ ‘พระยาครุฑ’ ชู้หลังคือ ‘คนธรรพ์’) ว่าชู้ก่อนนั่นเองเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้ชู้หลังปฏิบัติการชู้ซ้อนชู้ต่างเวลาอย่างแนบเนียน ไม่เพียงเท่านั้น นาฏกุเวรคนธรรพ์ยังขับครวญเพลงพิณรำพันลีลาเสน่หาทุกตารางนิ้วบนกายนางอย่างจงใจให้พระยาครุฑเจ็บช้ำโกรธแค้นระคนกัน

“ว่าพลางขับครวญกระบวนพิณ โอ้กลิ่นกากีพี่หมายมั่น

เสียดายพักตร์รับพักตร์พี่เมียงมัน เสียดายกรรณรับรสพจนา

เสียดายขนงก่งพักตร์เมื่อยักยวน เสียดายเนตรนำชวนเสน่หา

เสียดายปรางช่างเบือนกระบวนมา ให้นาสาสูบรสรัญจวนใจ

เสียดายโอษฐ์อ่อนคำให้กำหนัด เสียดายกรกอดรัดกระหวัดไหว

เสียดายเต้าเคล้าชื่นอุราใน เสียดายใจน้ำใจทุกสิ่งอัน”

ข้อความที่ว่า ‘แต่สุบรรณงมจิตไม่คิดหมาง’ ตอกย้ำว่าพระยาครุฑคือที่สุดแห่งความโง่งม แม้สักนิดก็ไม่คิดระแวงนางกากี คนธรรพ์ผู้เป็นชู้แสนจะ ‘เวทนาด้วยพระยาสุบรรณครัน’

ความจริงที่ดังก้องเต็มสองหูทำให้หัวใจพระยาครุฑแหลกยับราวกับชีวิตจะสิ้นสุดลงเพราะความเสียหน้าเสียเชิงชาย แต่กระนั้นพระยาครุฑหาได้โกรธนางไม่ กลับโทษตนเองว่าเป็นต้นเหตุ

“เราเสียแก้วกากีศรีสวาท เพราะประมาทไม่ถนอมเป็นจอมขวัญ

เสียฤทธิ์เพราะไม่คิดจะป้องกัน คนธรรพ์มันจึ่งแทรกเข้าซ้อนกล

ครั้งนี้เสียรักก็ได้รู้ ถึงเสียชู้ก็ได้เชาวน์ที่เฉาฉงน”

พระยาครุฑบอกตัวเองว่า ถึงจะสูญเสียความรักและชู้รัก ก็ยังได้รู้ความจริง และได้สติสัมปชัญญะกลับคืนมา ตาสว่างเสียที ไม่มืดบอดจมอยู่กับความรักความหลงอีกต่อไป

 

พระยาครุฑรีบลากลับวิมานสิมพลี พยายามเค้นถามความจริงจากนางว่า ช่วงเวลา 14 วัน 14 คืน ที่พานางจากท้าวพรหมทัตมาครองรัก ณ วิมานสิมพลี เกิดอะไรขึ้น

“นุชแจ้งจริงคำอย่าอำไว้ ยังมีใครมาสถิตถึงสถาน”

นางกากีฟังแล้วตื่นตระหนก แก้ตัวพัลวันว่า

“แต่พระพามาชมสมบัติทิพ อันลอยลิบลิ่วฟ้าเวหาหน

ข้าอยู่เดียวเปลี่ยวเอกาสกนธ์ ยังไป่ยลพักตร์ใครมาใกล้กราย”

เมื่อนางปากแข็งไม่ยอมรับ พระยาครุฑก็สวนกลับด้วยความจริง

“ดูดู๋คบชู้มาพรางชาย จนชู้หน่ายใจชู้แล้วจู่จร

เสียแรงรักหักจิตไม่คิดบาป นิยมหยาบฉกพามาสมสมร

ก็เจือใจมิให้อนาทร ประคองนอนแนบข้างไม่ห่างกาย

เชยชื่นดั่งวิเชียรเจียระไน มิรู้ไฝฟองช้ำสล่ำสลาย

ยังไม่รับจนเราจับได้ชู้ชาย คือนายนาฏกุเวรที่เจนกัน”

เนื่องจากแน่ใจว่าพระยาครุฑไม่มีทางรู้ความจริง นางจึงดิ้นรนสุดฤทธิ์ พยายามหาเหตุผลสนับสนุนให้ตัวเองดูดีที่สุด ยืนยันว่าเมื่อครองคู่กับพระยาครุฑ นางไม่เคยมีสัมพันธ์กับชายอื่น

“เออพิมานสิมพลีก็สูงสุด มนุษย์ฤๅจะมาได้ดั่งใจหวัง

แล้วร่ายเวทผูกบานทวารวัง ประดุจดังข่ายเพชรสักเจ็ดชั้น

อย่าว่าแต่มนุษย์ในแหล่งหล้า ถึงสุราสุรเทพในสรวงสวรรค์

ก็ไม่หาญทำลายเวทสุบรรณ คนธรรพ์ฤๅจะมาได้ดั่งใจจง

หนึ่งคนธรรพ์ก็เป็นทาสบาทมูล ต่ำตระกูลดั่งกามาแกมหงส์

ถึงข้าพลัดภัสดามาเอองค์ ก็รักวงศ์เหมราชไม่แกมกา

ซึ่งพระไม่กลัวเวรเพราะหวังสวาท พานิราศมาร่วมเสน่หา

ถนอมน้องมิให้หมองสักเวลา พระคุณล้ำดินฟ้าแลสาคร

ไม่ทันไรฤๅใจจะทุจริต พระวินิจตรองตริดำริก่อน

ธรรมดาว่ารักจะราญรอน เพราะหลงกลเขาซ้อนให้เสียการ”

ฝ่ายหญิงยืนกรานปฏิเสธ ไม่ยอมรับผิด ฝ่ายชายจะทำอย่างไร

ติดตามฉบับหน้า •

 

 

จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร