ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 21 - 27 เมษายน 2566 |
---|---|
คอลัมน์ | อัญเจียแขฺมร์ |
ผู้เขียน | อภิญญา ตะวันออก |
เผยแพร่ |
อัญเจียแขฺมร์ | อภิญญา ตะวันออก
สงกรานต์ไทย-เขมร
: สมัยนิยมแห่งความหลอมหลวม?
อย่างสม่ำเสมอ ในทุกๆ ฤดูร้อนอันโหด “กเดา” เผาไหม้ของเดือนเมษายนที่ฉันมักเสนอบทความ แนวกึ่งวรรณกรรม อันมีที่มาจากความร้อนรุ่มกเดานั่น
อย่างที่ทราบ เมษายนของกัมพูชามักจะเป็นเดือนเมษายน แห่งความยุ่งเหยิงแม้ว่ามันจะเป็นเดือนแห่งเทศกาล “โจลฌนำทไม” (ใช้ ฌ.เฌอ แทน ช.ช้าง เพราะเสียง “Ch” ลมเพดาน) คือวันปีใหม่เขมร ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนาน ความกระตือรือร้นในวิถีผู้คนที่อาศัยในภูมิภาคนี้ ผลักดันให้งานบุญประเพณีทุกประเภทเทศกาลมีความน่าจดจำ
แต่วิถีนิวเยียร์แขมร์ที่สืบทอดกันมาแต่บรรพกาล จู่ๆ เตโชเสน (คำเรียกผู้นำอย่างเป็นทางการโดยสื่อของรัฐ) ได้ผุดไอเดีย “โจลฌนำทไม” หรือปีใหม่แขมร์ ภายใต้วาทกรรมใหม่ในชื่อ “สงกรานต์” อย่างเป็นทางการ ราวกับยุคหนึ่งของไทยสมัยจอมแปลก พิบูลสงคราม ที่เดินตามแนวคิดรัฐนิยมใหม่ อย่างไรอย่างนั้น
สำหรับ Post Modern ยุคใหม่ของเขมรนั้นเต็มไปด้วยสารตั้งต้นแห่งการเปลี่ยนแปลงและการผลิตคุณค่านิยมความทันสมัยและทันสมัยมากขึ้นไปอีก จนกลายเป็นภารกิจแห่งการ “ลอกเลียนแบบ”
จากระบอบของตนเอง ไปสู่ระบอบอื่น และจากจารีตของตนไปสู่จารีต-ประเทศอื่น
แต่กัมพูชาซึ่งไม่เคยผ่านความเป็นประเทศ Post Modern ใกล้สุดเพียงครั้งเดียวคือในสมัยระบอบสีหนุ (1955-70) ในยุคปลายของพระองค์ที่ความรุ่งโรจน์ทุกด้าน
ขณะที่ครึ่งแรกของระบอบยังเป็นเรื่องของการสร้างสาธารณูปโภคสมัยใหม่แบบตะวันตก เพื่อให้ชาวเขมรซึ่งเพิ่งผ่านชีวิตหลังได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส/1953 มาได้เพียงไม่กี่ปี
วาทกรรม “สันติภาพ” จึงช่างหอมหวานต่อการลิ้มลองไปพร้อมกับวิถีสมัยใหม่ขณะนั้น
แต่นั่นก็ยังไม่ถึงกับจะเรียกว่า “โพสต์โมเดิร์น” ได้เต็มปาก และประชาชนเขมรก็ยังไม่เสพสุขกับระบอบโมเดิร์นอย่างเต็มคราบ แถมยังหวาดกลัวนิยมสมัยใหม่ไปเสียอีก
ตัวอย่างง่ายๆ เมื่อเจ้าชายสีหนุสร้างตึกขาว-อพาร์ตเมนต์สมัยใหม่ สำหรับเป็นบ้านพักนักกีฬาและต่อมาได้เกณฑ์ข้าราชการในกระทรวงการคลังซึ่งก้าวหน้ากว่ากระทรวงใดๆ เวลานั้นไปอยู่
แต่พวกข้าราชการส่วนใหญ่ปฏิเสธ โดยยินดีจะอยู่บ้านโกโรโกโสของตนด้วยเหตุผลนานา
หนึ่งในเหตุผลนั้นคือกลัววิถีอาศัยโดดเดี่ยวแบบสมัยตะวันตก ว่าจะทำลายจิตวิญญาณแบบเขมรที่ติดอาศัยพื้นที่ราบมากจนเกินไป
แต่ในเมื่อเป็นความประสงค์ของผู้นำเขมรที่จะสร้างอารยธรรมใหม่ให้แก่พลเมืองตามแนวคิดรัฐสมัย อย่างน้อยเราจะได้เห็นภาพเหล่านั้นจากภาพยนตร์ของเจ้าชายสีหนุ แต่ก็ขัดไม่ได้ และว่าไปแล้วกลับกลายเป็นภาพทำลายกลุ่มนักปฏิบัติสังคมนิยมที่ถูกด้อยค่าว่าเป็นฝ่ายกระฏุมพี
แต่อานิสงส์ยุค Pre-Modern ยุคสีหนุคิสต์มันกลับมาอยู่ในสมัยลอน นอล ถือเป็นยุคโพสต์โมเดิร์นอย่างแท้จริงในทศวรรษ 70
เราได้เห็นความรุ่งเรืองเฟื่องฟูของ Post Modern ในวิถีผู้คนพนมเปญและจากสื่อภาพยนตร์ ดนตรีที่ได้รับอิทธิพลตะวันตกอย่างเต็มคราบ ตามแบบฉบับการเติบโตของอุตสาหกรรมบันเทิงเขมรตอนนั้น หลังจากระบอบสีหนุถูกโค่นไป
แน่ล่ะ มันยิ่งตอกย้ำความแตกต่างระหว่างชนชั้น คนรวย-คนจน ชนบท-เมืองใหญ่ ที่นำไปสู่การต่อสู้อย่างเต็มสูบ ระหว่างทุนเสรีกับมาร์กซิสต์ จนกลายเป็นสงครามกลางเมืองไปในที่สุด
และทำให้วิถีโพสต์โมเดิร์นที่ยังไม่ทันจะเติบโตงอกงามในเขมรยุคนั้น มีอันถูกทำลายดำดิ่งลึกลงไปอย่างถอนรากด้วยระบอบคอมมิวนิสต์
แต่ในความคิดของฉัน “โพสต์โมเดิร์นเขมร” เพิ่งจะถูกลิ้มลองกันอย่างเต็มสูบกันมากๆ ในยุคเตโชเสนนี้เอง
ทำไมฉันจึงเชื่อเช่นนั้น?
ก่อนอื่นต้องบอกว่า ไม่เพียงแต่การเคลมวัฒนธรรมต่างๆ ทั้งแบบที่เคยมีอยู่และไม่เคยมีมาแม้แต่ราก
หากแต่ประดิษฐ์ขึ้นในระบอบฮุนเซนที่ปกครองกัมพูชามายาวนานและจำเป็นต้องสร้างแนวทางพัฒนาใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นในประเทศทั้งแบบการก่อสร้างที่จับต้องได้ อย่างสาธารณูปโภคสิ่งก่อสร้างใหม่ๆ เช่น การก่อสร้างพหุกีฬาสถาน “มรดกเตโช” ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อลบล้างอดีตยุคโมเดิร์นของสมเด็จนโรดม สีหนุ ในกรณีโอลิมปิกสเตเดี้ยม ที่ถูกลดความสำคัญลงไปในทุกด้าน ในนามของอดีตเจ้าชายสีหนุ “Prince Stadium”
และนี่คือผลพวงอันตามมาของการสร้างอาณาจักรเตโชเสนอันยิ่งใหญ่ที่ยาวนานกว่าระบอบใดๆ ในกัมพูชาอย่างไม่เคยมีมาก่อน นับจากผลพวงข้อตกลงปารีส/1991 ที่ตามมาด้วยชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จของฝ่ายฮุนเซนในรอบ 30 ปี
และนี่คือเหตุผลทำไมวาทกรรมอย่างคำว่า “สันติภาพ-สันติเพียบ!” ถูกผลิตซ้ำซากในระยะไม่กี่ปีมานี้
เช่นเดียวกับซอฟต์เพาเวอร์อื่นๆ ที่รัฐสมัยในระบอบฮุนเซนจำเป็นต้องผลิตขึ้นเพื่อกระตุ้นเร้าพลเมืองให้จดจำระบอบเตโชฮุนเซนแห่งกัมพูชา ซึ่งเป็นผู้สร้าง ณ ที่นี้
ขอคารวะแด่เตโชเสนแห่งกัมปูเจีย ผู้ก่อสร้างความหลากหลายในสกุลรัฐศาสตร์แห่งการปกครองไม่ว่าจะเป็น มาร์กซิสต์ เลนิน เหมาอิส ฮานอย เปกัง (ปักกิ่ง) รวมทั้งกรุงเทพฯ
ฮุน เซน ผู้สามารถประมวลเอาระบอบต่างๆ ทั้งแบบสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ ทั้งแบบเครมลิน ปักกิ่ง ฮานอยมารวมกัน
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังยึดโยงกับแนวคิดชุณหะวัณในทุนนิยมเสรียุคแรก และจับเอาแนวคิดสีหนุเรื่องการสร้างรัฐเขมรสมัยใหม่มาผสมรวม
สถาปนาความเป็นรัฐสมัยใหม่อย่างวิถีประชากรโลกซึ่งกำลังจะถูกหลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน
ความต้องการเป็นรัฐนาวาสมัยใหม่แบบโพสต์โมเดิร์นที่รวดเร็วเปิดกว้างนี้ได้บีบคั้นสังคมเขมรที่มีผู้ปกครองซึ่งมีแนวคิดหัวเก่า
ความพยายามที่จะ “หยิบฉวย” หรือ “จำลอง” จาก “ระบอบอื่นๆ” มาใช้สอยจึงเกิดขึ้นเรื่อยมา
ไม่ว่าจะเป็น สีหนุคิสต์ ลอน นอลลิสซึ่ม หรือแม้แต่เขมรแดงของระบอบพล พต!
และดูเหมือนหวยจะมาลงที่ไทยซึ่ม (Thaism) หรือไทยซั่ม! โดยเฉพาะกรณีทางวัฒนธรรมที่คาบเกี่ยวกันด้วย!
ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลสงกรานต์เฟสติวัล ที่องกอร์เมืองเสียมเรียบ กุนแขมร์-มวยเขมร และ ฯลฯ
แต่ยังไม่จบแค่นี้เท่านั้น นโยบายแผ่ขยายวัฒนธรรมกัมพูชาในระบอบเตโชฮุนที่ครอบจักรวาลนี้ นอกจากจะนำไปยึดโยงอาณาจักรนครวัดนครธมแล้ว ยังสามารถเพาะเชื้อเป็น “ตัวอ่อน” สำหรับปลูกฝังประชาชนให้หลงใหลและเชื่อในลัทธิชาตินิยมอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่า การประยุกต์แนวคิดที่ว่านี้ ได้ก่อให้เกิดกระแส “ปฏิวัติสี” หรือ “Color Revolution” ที่สมเด็จฮุน เซน หวาดกลัวหนักหนาขึ้นด้วย
การมาถึงของ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” ในหมู่ประชาชน 2 ประเทศ ไทย-กัมพูชา นี้เชื่อไหมว่า ตัวก่อการอันวิเศษวิโสนี้ ไม่ได้อยู่ที่เขมร แต่อยู่ที่ประเทศไทย
โดยเฉพาะพลเมืองของประเทศนี้ที่กำลังเต็มไปด้วยนักจุดไฟในนาคร แต่สำหรับผู้นำบางประเทศนั้น อาจถึงขั้นเรียกว่า เป็น “ไฟ” ประลัยกัลป์
นับมาถึง-กึ่งกลางความสำเร็จในระบอบฮุนเซน 20 ปีหลังเผาสถานทูตไทยในปี ค.ศ.2003/2546 นั้น
กัมพูชาได้ยืมไทย ในนโยบายแห่งการสมยอม แต่บังเอิญควบคุมไม่ได้จนกลายเป็นจลาจลครั้งนั้น ซึ่งลึกๆ ไทยเองส่วนหนึ่งทำเป็นมองไม่เห็นความปกตินี้ เพื่อให้ความช่วยเหลือต่อระบอบฮุนเซน ด้วยข้อแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน หนึ่งในนั้นคืออานิสงส์ลัทธิบูชาผู้นำนิยมของ 2 ผู้นำประเทศเวลานั้น
แล้วการเผาครั้งนั้น ก็ตามซึ่งโภชผลหลายอย่างรวมทั้งความเสียหายต่อภาคเอกชนผู้ทำสัมปทานในกัมพูชา
แต่ 1 ในนั้น คือการที่ตระกูลฮุนได้รับอานิสงส์ธุรกิจมวยไทยที่เคยอยู่ในรายการโทรทัศน์ที่มีผู้ถือครองสัมปทานเป็นชาวไทย ซึ่งรายการที่สร้างรายได้มหาศาลตอนนั้น ก็คือการชกมวยปรอดาลเสรีหรือมวยไทยนี่เอง เช่นเดียวกับผลการเลือกตั้ง/2003 ที่ชัยชนะเป็นของระบอบฮุนเซน!
ย้อนกลับไปสู่ฉากกลเหล่านั้น ราวกับเป็นพล็อตเรื่องเดียวกัน ในผลพวงแห่งการตามมาแห่งการตามมาในซอฟต์เพาเวอร์เหล่านั้น ไม่ว่าจะกุนแขมร์หรือสงกรานต์องกอร์ ล้วนแต่มีแรงจูงใจจาก “กาลครั้งหนึ่งฯ ในปี 2546”
และการถือกำเนิดของนักการเมืองผู้สร้างตลอดการเปลี่ยนแปลงสังคมเขมร จากสังคมนิยมสู่โพสต์โมเดิร์นในวันนี้ ราวกับว่าเขาผู้นั้นจะมากด้วยบารมีแห่งการเป็นผู้รับตลอดมา ไม่ว่าจะนำพาประเทศไปสู่ทิศทางใด
ต่อในความผิดหรือถูกที่ลากเลื่อนในแบบชักพาสังคมไป ทั้งขั้วลบสังคมนิยม หรือขั้วบวกเสรีสมัย แต่โปรดอย่าชะล่าใจ ในความผุดพรายเหล่านั้นที่ติดฝังอยู่ในใจประชาชน ไม่ว่าเขมรหรือไทย, สังคมนิยม, เสรีสมัย หรือแม้แต่โพสต์โมเดิร์น เพราะหากว่าคุณติดหล่มนั้นในวันหนึ่ง
ขอเรียนตามตรงว่า นรกบนดิน!
credit : @tvk
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022