อย่าให้ความหมั่นไส้บังตา | คำ ผกา

คำ ผกา

คาดว่าการเลือกตั้งใหญ่ของประเทศไทยจะมีขึ้นในวันที่ 7 พฤษภาคม ที่กำลังจะมาถึง และการยุบสภาน่าจะเกิดขึ้นภายในกลางเดือนมีนาคม

การเลือกตั้งครั้งนี้มีความหมายอย่างยิ่งสำหรับคนไทยและสังคมไทย

เพราะมันคือเดิมพันว่าเราจะเปลี่ยนผ่านไปสู่การปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภา และปลดแอกตัวเองออกจากอำนาจของเครือข่าย คสช. และอำนาจที่สืบทอดมาจากการรัฐประหารได้หรือไม่

และตัวเลขที่ฝ่ายประชาธิปไตยต้องทำให้ได้ คือจำนวน ส.ส. 376 เสียงขึ้นไปถึงจะชนะ 250 เสียงของ ส.ว.

และนั่นคือเหตุผลที่พรรคเพื่อไทยชูแคมเปญแลนด์สไลด์ เพราะหากชนะไม่เด็ดขาด ชนะไม่ถล่มทลาย โอกาสทองที่จะเปลี่ยนผ่านประเทศก็จะหลุดมือเราไปอีกครั้ง และเราก็ต้องรอไปอีก 4 ปี

หรือนานกว่านั้นบนซากปรักหักพังของประเทศ ความยากจนของเพื่อนร่วมชาติ ปัญหาสังคม ปัญหายาเสพติด ปัญหาเด็ก เยาวชน การศึกษาที่ทับถมหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

 

ฉันคิดว่าคนไทยจำนวนมากเข้าใจเรื่องนี้ดีและมันสะท้อนผ่านผลโพลที่คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทยและแพทองธาร ชินวัตร เริ่มนำโด่งเหนือพรรคอื่นๆ และแคนดิเดตคนอื่นๆ

เรียกได้ว่า ยิ่งใกล้เลือกตั้ง ทั้งประยุทธ์ จันทร์โอชา และประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่มีออร่า ไม่เปล่งประกายใดๆ จนน่าทดท้อ

และจุดที่คะแนนเสียงของแพทองธารกำลังมาแรง หลายคนมองว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะ เขาจะยุบพรรค ถ้าพรรคเพื่อไทยชนะ เขาจะก่อการรัฐประหารอีกรอบ

หรือแม้กระทั่งพยายามสร้างทฤษฎีใหม่ว่า เพื่อไทยต้องไปอาศัยจับมือกับพลังประชารัฐ ยกตำแหน่งนายกฯ ให้ประวิตรเพื่อให้ตัวเองได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล

และสารพัดที่จะคิดได้ตามประสบการณ์ชีวิตที่มี

แต่สิ่งที่ฉันกังวลไม่ใช่การยุบพรรค ไม่ใช่การทำรัฐประหาร แต่เป็นเรื่องของการยืมมือประชาชนที่ “จิตอ่อน” มาเป็นเครื่องมือในการสกัดชัยชนะของพรรคเพื่อไทย (ในฐานะที่เป็นพรรคที่มีโอกาสชนะสูงสุดของพรรคฝ่ายประชาธิปไตย) เพราะทั้งการยุบพรรค และการทำรัฐประหารนั้นต้นทุนสูงเกินไป

ดังนั้น วิธีที่เนียนที่สุดคือใช้ปฏิบัติการทางจิตวิทยา และใช้ “สื่อ” ในการทำลายความนิยมของพรรคการเมืองนั้นและแคนดิเดตคนนั้น

และวิธีที่นิยมใช้กันมากอยู่ตอนนี้และเป็นปรากฏการณ์ในหลายประเทศที่ฉันคิดว่าน่าสนใจสำหรับสังคมไทยที่จะรู้เท่าทัน

 

ปี 2021 Annalena Boerbock แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของเยอรมนีจากพรรคกรีน ได้รับคะแนนนิยมอย่างท่วมท้นและมีแนวโน้มว่าชนะการเลือกตั้ง

ทันใดที่เธอเสนอนโยบายบล็อกท่อก๊าซระหว่างรัสเซียกับยุโรป ปรากฏว่าตัวของ Annalena ถูกโจมตี ใส่ร้ายในโซเชียลมีเดียว่า ในอดีตเธอเคยทำงานเป็นผู้ให้บริการทางเพศ เคยค้าประเวณี มีการส่งรูปโป๊ของเธอที่ถูกตัดต่อมาจากภาพของนางแบบรัสเซีย

กระหน่ำส่งเฟกนิวส์โจมตีแบบนี้อย่างรุนแรงต่อเนื่อง ก่อนจะตบท้ายด้วยการจุดชนวนดีเบตจากฝ่ายไอโอว่า ผู้หญิงแบบเธอจะสร้างสมดุลของบทบาทแห่งความเป็นแม่และผู้นำประเทศได้จริงหรือไม่

และไม่น่าเชื่อว่าเฟกนิวส์เหล่านี้จะถูกเอาไป “ปั่น” จนกลายเป็นวิวาทะที่ “จริง” ขึ้นมาจนได้ในบทสนทนาของสาธารณชน

ไม่ว่าจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย แต่มันเปิดโอกาสให้มีการโจมตี ถกเถียง ด่าทอ จน “ราคา” ของนโยบายที่เธอเสนอถูกลดทอนความสำคัญลง และเมื่อผลการเลือกตั้งออกมาคะแนนของเธอก็หล่นตุ๊บไปอยู่อันดับสามทันที

ถามว่าแล้วประเทศเยอรมนีที่แสนจะเป็นประชาธิปไตยมีไอโอด้วยเหรอ?

ปรากฏข้อเท็จจริงจากงานวิจัยของ German Marshall และ Institute of Strategic Dialogue ว่าเฟกนิวส์เหล่านั้นถูกปั่นจากไอโอรัสเซีย เพราะขืนปล่อยให้ Annalena ชนะการเลือกตั้ง รัสเซียก็ซวยแน่ๆ

แวะไปดูสถานการณ์โลก เราจะเห็นว่าสงครามที่รัสเซียไปบุกยูเครน มันไม่ใช่เรื่องดินแดน แต่เป็นเรื่องที่รัสเซียหวาดกลัวว่า ทุกประเทศในยุโรปได้สมาทานการปกครองระบอบประชาธิปไตยเสรีนิยมเหลือแต่เบลารุส

ดังนั้น ในฐานะที่เป็นประเทศเผด็จการหัวเดียวโด่เด่ โอกาสที่รัสเซียจะถูกกดดันจากยุโรปทั้งทวีปให้ต้อง Democratized และนั่นแปลว่าอำนาจของเผด็จการอย่างปูตินต้องจบลง

ดังนั้น ศัตรูของรัสเซียคือ “ประชาธิปไตย” การทำสงครามกับยูเครน การเข้าไปสนับสนุน Brexit ผ่านสงครามข่าวสาร และการปล่อยเฟกนิวส์ใส่นักการเมืองฝ่ายหัวก้าวหน้าแม้ในการเลือกตั้งของอเมริกา รัสเซียก็ทำ

เพราะภารกิจหลักตอนนี้คือบ่อนเซาะทำลายความเข้มแข็งของประชาธิปไตย และในการศึกษาเรื่องนี้จาก 4 ประเทศทั่วโลก คือ บราซิล อิตาลี ตูนิเซีย อินเดีย ทำให้นักวิจัยชื่อ Lucina Dimico เสนอคำว่า Monetizing Misogyny

Monetizing Misogyny คืออะไร?

 

มันไม่ใช่แค่การดิสเครดิตนักการเมืองผู้หญิง ไม่ใช่แค่การใส่ร้ายป้ายสีแบบที่เราคุ้นเคย เช่น ในสมัยก่อน นักการเมืองหญิงอาจจะเจอการดูถูกว่า อ่อนแอ อ้อนแอ้น ออเซาะ ใช้มารยาหญิงเพื่อเอาชนะทางการเมือง เป็นชู้กับคนนั้นคนนี้

เช่นที่คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เจอกรณีโฟร์ซีซั่นส์ หรือไปขุดภาพลับ ภาพโป๊ของใครไม่รู้มาปล่อยแล้วอ้างว่าเป็นภาพลับ เทปลับของผู้นำหรือนักการเมืองหญิง วิจารณ์แฟชั่น การแต่งตัว หรือขุดมุขเก่าๆ มาใช้ว่า ผู้หญิงมีความอ่อนแอ อ่อนไหว ใช้อารมณ์นำหน้าเหตุผล ฯลฯ

แต่ Monetizing Misogyny คือ มีตัวการที่เป็น Dark actors ตั้งใจสร้าง Hate campaigns ต่อตัว “เป้าหมาย” ที่เป็นนักการเมืองหญิง หรือผู้นำหญิง

ตั้งแต่ทำภาพล้อ ปล่อยข่าวลืออันเกี่ยวกับเรื่องทางเพศ ความเป็นแม่ การตั้งครรภ์

บิดเบือนนโยบายที่นักการเมืองเหล่านั้นนำเสนอ แล้วข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือน โกหก หลอกลวง ใส่ร้ายป้ายสีเหล่านี้ถูกนำเสนอผ่านแพลตฟอร์มของโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะในทวิตเตอร์

และโดยกลไกของอะกอริธึ่ม และการติด “เทรนด์” ของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ภาพ และเรื่องราว คาว และอื้อฉาว เหล่านี้มักจะเป็นไวรัล ถูกพูดถึง มีเอนเกจเมนต์สูง สร้างรายได้ให้กับแพลตฟอร์ม

จึงทำให้แพลตฟอร์ม “รู้เห็นเป็นใจ” ปล่อยให้ข่าวลือ ข่าวลวงเหล่านี้ถูกเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางมาก และมากอีกทบเท่าทวีคูณจากการทำงานของอะกอริธึ่ม แทนการถูกลบหรือถูกรีพอร์ต

ผลก็คือ มันทำให้ ส.ส.หญิงบางคนของประเทศถูกฆ่าตายจากมวลชนฝ่ายขวาจัด

นักการเมืองหญิงที่ต่อสู้เพื่อเด็ก เพื่อผู้หญิง เพื่อคนชายขอบ เพื่อปกป้องทรัพยากรของคนกลุ่มน้อย เพื่อสิทธิที่ดินทำกินของชาติพันธุ์ ผู้หญิงที่สู้กับมาเฟีย กับนายทุนยักษ์ใหญ่ จะถูก “สอย” ให้ร่วงจากการเลือกตั้ง ถูกข่มขู่ คุกคาม จนทำงานการเมืองไม่ได้

ด้วยการใช้วิธี Monetizing Misogyny ของ Dark actors ที่ผลประโยชน์ หรืออำนาจของพวกเขาได้รับผลกระทบจากการทำงานของนักการเมืองหญิงเหล่านี้

 

ดังนั้น ถามว่า Dark Actors คือใคร?

งานวิจัยนี้นิยามว่าคือ Authoritarians หรือเผด็จการอำนาจนิยม กลุ่มอำนาจเก่าที่ครองอำนาจทางการเมืองมายาวนาน

และ Illiberal actors หรือกลุ่มคนอนุรักษนิยม หัวโบราณ คลั่งศาสนาสุดโต่ง ที่เห็นว่าผู้หญิงไม่ควรทำอะไรนอกจากเป็นเมีย เป็นแม่ ทำครัว ทำงานบ้าน เป็นคนน่ารัก อ่อนโยนไปวันๆ ให้ผู้ชายคอยปกป้องดูแล

ข้อสรุปของงานวิจัยนี้คือ Monetizing Misogyny ไม่ใช่แค่ทำลาย กีดกันผู้หญิงออกจากการเมือง

แต่บ่อนทำลายความมั่นคงของการเมืองระบอบประชาธิปไตยให้อ่อนแอลงโดยปริยาย หรืออาจถึงขั้นทำลาย “ประชาธิปไตย” ของประเทศนั้นลงเลย

เพราะ “เป้าหมาย” โจมตีของขบวนการนี้คือ นักการเมืองหญิงที่พยายามสร้างความเข้มแข็งให้กับคนตัวเล็กๆ นักการเมืองหญิงที่ลุกขึ้นสู้กับเผด็จการ

นักการเมืองที่สู้เพื่อความหลากหลายทางเพศ อันล้วนแต่เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับความเข้มแข็งของประชาธิปไตย

ด้วยวิธีการนี้ เผด็จการอำนาจนิยมจึงไม่ต้องใช้อาวุธ กฎหมาย รถถัง การยุบพรรค หรือการรัฐประหาร

แต่ใช้ปฏิบัติการทางข้อมูลข่าวสารผ่าน “สื่อ” ที่เขาเป็นเจ้าของ เผยแพร่มันผ่านโซเชียลมีเดีย จุดประกายไปนิดเดียว ก็จะมี “มวลชน” รับลูกเอาไป “ปั่นต่อ” โดยสมัครใจ

และในมวลชนเหล่านั้น อาจมีทั้งผู้ชายที่ “เหยียด” ผู้หญิงอยู่แล้ว เป็นทุนเดิม มวลชนที่แม้จะเอาด้วยกับประชาธิปไตย แต่กระโดดงับเรื่องนี้ เพราะนักการเมืองหญิงคนนั้นสังกัดพรรคคู่แข่ง มวลชนที่โดยพื้นฐานเป็นคนที่มีแนวคิดอนุรักษนิยมอยู่แล้วเป็นทุนเดิม

ผลก็คือ นักการเมืองหญิง ผู้นำหญิง เหล่านี้จะถูกทำให้แพ้การเลือกตั้ง

ถูกทำให้เสื่อมความนิยม ถูกทำให้กลายเป็นตัวตลก ถูกทำให้กลายเป็นตัวร่าน ตัวร้ายในวงการเมือง

รุนแรงมากก็อาจถูกคุกคาม ขู่ฆ่า หรือถูกลอบสังหารไปจริง

และสิ่งนี้ทำให้ประชาธิปไตยในหลายแห่งทั่วโลกอ่อนแอ และผู้ที่ทำวิจัยยังแสดงความกังวลว่าแม้แต่ “การรู้เท่าทันสื่อ” อย่างปกติธรรมดา ก็ช่วยอะไรในเกมนี้ไม่ได้เลย

 

นี่คือสิ่งที่ฉันกังวลและมั่นใจว่า มันคือสิ่งที่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทยจะได้เจอกับวิธีการสกปรกแบบนี้แน่ๆ ทั้งในฐานะผู้หญิง ในฐานะผู้หญิงที่ตั้งท้อง

ผู้หญิงที่เป็นลูกสาวของอดีตนายกฯ ที่เป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยและขวัญใจมหาชนตลอดอย่างทักษิณ และแน่นอนในฐานะที่เป็นภัยคุกคามต่ออำนาจของเผด็จการในประเทศนี้

ยังไม่ทันไร เราก็ได้เห็น Dark actors อย่าง ส.ว.หลายๆ คน ออกมาโจมตีแพทองธาร โดยเฉพาะในประเด็น “หุ่นเชิด” ที่ไม่มีความคิดใดๆ เป็นของตนเอง ไปจนถึงการเขียนการ์ตูนการเมืองล้อเลียนเหยียดเพศต่างๆ

Dark actors ก็ส่วนหนึ่ง แต่ที่น่ากลัวคือในประเทศไทยแม้แต่ในฝั่งโปรประชาธิปไตยด้วยกันเองก็ยังมีวิธีคิดเรื่อง “เพศวิถี” ที่ทำให้การทำงานของนักการเมืองหญิงมีความยุ่งยากที่ไม่จำเป็นขึ้นมาเยอะมาก

และน่าตกใจกว่านั้นในหมู่ผู้สนับสนุนพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยหัวก้าวหน้าก็ยังใช้วิธีดิสเครดิตแพทองธารในลักษณะที่เป็น misogyny เหมือนกับที่ฝ่ายเผด็จการอนุรักษนิยม อำนาจนิยมใช้ เพียงเพราะไม่ต้องการเห็นเธอชนะการเลือกตั้ง

ฉันเขียนขึ้นมาเพื่อจะบอกว่า โดยไม่จำเป็นต้องถือหางพรรคการเมืองไหน แต่ถ้าเราไม่อยากให้ประชาธิปไตยที่ยัง “มาไม่ถึง” ของเราแท้งไปก่อนที่จะได้คลอด

เราต้องรู้เท่าทันและไม่กลายเป็นไอโอจิตอาสาของฝ่ายเผด็จการไปโดยไม่รู้ตัว เพียงเพราะเราเป็นคนที่ “เกลียด” ผู้หญิงอยู่เป็นทุนเดิม และไม่ต้องการเห็นผู้หญิงคนไทยโดดเด่นกว่าตัวเอง หรือแม้แต่หลักการสุภาพบุรุษที่จะอนุญาตเฉพาะผู้หญิงที่ “น่ารัก” เท่านั้นได้มีที่อยู่ที่ยืนในวงการเมือง

อย่าให้ความหมั่นไส้บังตาจนกลายเป็นเครื่องมือให้เผด็จการได้ครองอำนาจต่อ