China House ไพ่ใบใหม่ ‘สหรัฐ’ ในการคานอำนาจ ‘จีน’/บทความพิเศษ จักรกฤษณ์ สิริริน

บทความพิเศษ

จักรกฤษณ์ สิริริน

 

China House

ไพ่ใบใหม่ ‘สหรัฐ’

ในการคานอำนาจ ‘จีน’

 

ดูเหมือน “สงครามการค้า” หลายปีที่ผ่านมา ระหว่าง “สหรัฐอเมริกา” กับ “จีน” ยังคุกรุ่นไม่จบสิ้น ก็มาผนวกกับ “สงครามเทคโนโลยี” จากกรณี Huawei สมทบด้วย “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” ที่แน่นอนว่า “จีน” เอนเอียงมาทางฝั่ง “รัสเซีย”

และ “สหรัฐอเมริกา” และ “พันธมิตร” เช่น “ยุโรป” ก็แอบอยู่ด้านหลังของ “ยูเครน”

ยิ่งมีนักวิเคราะห์ที่พากันออกมาคาดการณ์ความเจริญรุ่งเรืองของ “จีน” ที่จะขึ้นแท่น “มหาอำนาจชาติใหม่” ความหวาดระแวงระหว่าง “จีน” และ “สหรัฐอเมริกา” นับวันก็ยิ่งทวีความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจในกันและกัน ความสัมพันธ์ดูเหมือนจะห่างถ่างกว้างออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีทีท่าว่าจะประนีประนอมรอมชอมกันได้อีก

ฉับพลัน “กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ” กลับประกาศเปิดตัว “กลไกใหม่” ซึ่งเปรียบได้ดั่ง The Big Brother ในนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง 1984 ของ George Orwell เพื่อใช้ติดตามดู “รัฐบาลปักกิ่ง” ที่พยายามแผ่ขยายอิทธิพลของตนไปทั่วโลกอยู่ในเวลานี้

“กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ” ตั้งชื่อ The Big Brother หรือ “กลไกใหม่” ดังกล่าวเอาไว้ว่า โครงการ China House ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเฝ้าดูความเป็นไปของจีน

สะท้อนให้เห็นถึงความกังวลของ “รัฐบาลวอชิงตัน” ตามที่ Antony Blinken “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ” ได้เคยบรรยายไว้ว่า “วิวัฒนาการของจีน” นั้นเป็น “ความท้าทายระยะยาวที่ร้ายแรงที่สุดต่อความสงบเรียบร้อยภายใต้ระเบียบโลก”

“โฆษกของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ” กล่าวว่า โครงการ China House เป็น “การทำงานแบบบูรณาการทีมของ ‘กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ'” ที่จะทำงานประสานกัน และนำเสนอนโยบายของกระทรวงในทุกๆ เรื่อง และทุกๆ ภูมิภาค

“กระทรวงต่างประเทศสหรัฐจะเดินหน้า และจะเร่งยกระดับความพยายามบูรณาการความเชี่ยวชาญ และทรัพยากรที่เกี่ยวข้องกับสาธารณรัฐประชาชนจีนทั้งหมด ให้มาอยู่ที่ ศูนย์กลางการประสานงานด้านนโยบายใหม่แห่งนี้” โฆษกของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐกระชุ่น

Liu Pengyu โฆษกของสถานเอกอัครราชทูตจีนประจำกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระบุว่า กุญแจสำคัญที่จะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่าง “จีน” กับ “สหรัฐอเมริกา” หลุดพ้นจากสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันก็คือ การที่ “สหรัฐอเมริกา” ต้องรีบละทิ้งความบ้าคลั่ง Zero-sum Games นั่นคือ “สหรัฐอเมริกา” ต้องเลิกหลอนตัวเองด้วยความพยายามควบคุมจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “สหรัฐอเมริกา” ต้องเร่งหยุดบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระหว่าง “สหรัฐอเมริกา” และ “จีน” ทันที

“สิ่งที่ Antony Blinken บอก ว่าสหรัฐไม่ต้องการสร้างความขัดแย้ง หรือยั่วยุให้เกิดสงครามเย็นครั้งใหม่กับจีน แต่สหรัฐก็มีความพยายามปิดกั้นจีน ไม่ให้ขึ้นมามีบทบาทเป็นประเทศมหาอำนาจ และยับยั้งไม่ให้จีนเปิดเกมรุกทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่สหรัฐบอกว่า ต้องการจะอยู่ร่วมกับจีนอย่างสันติสุขนั้น เป็นสิ่งที่จีนกำลังจับตาดูอยู่” Liu Pengyu ระบุ

สอดคล้องกับ Hu Xijin บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ The Global Times ที่บอกว่า โครงการ China House ของสหรัฐไม่มีความสำคัญอะไรมากมาย

“ตอนที่นิตยสาร Foreign Affair ตีพิมพ์บทความเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐกำลังจะจัดตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของรัฐบาลจีน ด้วยการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ประจำภูมิภาคจีนเข้ามาเฝ้าดูความเป็นไปต่างๆ ราว 30 คน ประจำการตามสำนักงานภูมิภาคต่างๆ ของกระทรวงต่างประเทศสสหรัฐ ผมคิดว่าเป็นแค่คำขู่” Hu Xijin กล่าว และว่า

และแล้ว China House ก็เกิดขึ้นจริงๆ พร้อมๆ กับการที่สหรัฐกำลังเร่งเดินเครื่องการทำงานด้านการทูต เพื่อตอบโต้ความพยายามของจีนที่จะเข้ามามีบทบาทในเวทีโลกอย่างต่อเนื่อง Hu Xijin สรุป

 

หลังข่าวเปิดตัว China House ไม่นาน Wang Yi รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศของจีน ได้เดินทางมายังประเทศในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้เป็นเวลา 10 วัน

ซึ่งการเคลื่อนไหวของ Wang Yi ดังกล่าว กระตุ้นให้รัฐบาลวอชิงตันต้องหันมาให้ความใส่ใจต่อประเทศหมู่เกาะต่างๆ ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และเอเชียแปซิฟิกอย่างเร่งด่วน เพื่อสกัดกั้นการรุกคืบของจีนอย่างทันท่วงที

การป้องกันและสกัดกั้นการรุกคืบของ “จีน” ใน “แปซิฟิกใต้” ได้สอดคล้องกับคำร้องขอของ Jacinda Ardern นายกรัฐมนตรีนิวซีแลนด์ ที่กล่าวกับ Joe Biden ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดย Jacinda Ardern ได้ร้องขอต่อ Joe Biden ให้ทางสหรัฐอเมริกาวางนโยบายต่อประเทศหมู่เกาะแถบมหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้มากยิ่งขึ้น ระหว่างการเข้าพบหารือที่ทำเนียบขาวเมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

ผู้สันทัดกรณีการเมืองระหว่างประเทศเชื่อว่า ตัวชี้วัดว่าประเด็นใดมีความสำคัญหรือไม่-อย่างไรในความคิดของชาติมหาอำนาจก็คือ “การจัดตั้งหน่วยงานใหม่” ขึ้นมาดูแลเป็นเรื่องๆ

เห็นได้จากการที่ Joe Biden เร่งประกาศเปิดตัว China House ในครั้งนี้ ที่ถือเป็นการประกาศจุดยืนของสหรัฐอเมริกา ถึงทิศทางความสัมพันธ์กับจีนนับจากนี้ไป

 

Douglas Paal นักวิชาการของ Carnegie Endowment for International Peace กล่าวว่า Joe Biden พยายามแสดงจุดยืนของตน ต่อการประเมินจากคนทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากคนภายในรัฐบาลเอง ที่ชี้ว่า การขับเคี่ยวกับ “จีน” คือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกายุคนี้!

สอดคล้องกับ Zack Cooper นักวิชาการอาวุโสจาก American Enterprise Institute ที่ระบุว่า การก่อตั้ง China House ขึ้นมานี้ คือวิธีที่รัฐบาลกรุงวอชิงตันแสดงให้โลกเห็นว่า สหรัฐอเมริกานั้นจริงจังกับประเด็นอิทธิพลของ “จีน” มากน้อยเพียงใด

เช่นเดียวกับ Miles Yu ผู้อำนวยการ China Center แห่ง Hudson Institute ที่กล่าวว่า ความริเริ่มของสหรัฐอเมริกาในครั้งนี้ถือเป็นนิมิตหมายอันดี และน่าจะเกิดขึ้นมาตั้งนานแล้ว

“การเปิดตัว China House สะท้อนให้เห็นภาพความจริงเกี่ยวกับบทบาทของจีนที่เพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับท่าทีในการดำเนินนโยบายด้านการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในช่วงที่ผ่านมา” Miles Yu ระบุ

ขณะที่ Dean Cheng นักวิชาการอาวุโสจาก Heritage Foundation ชี้ว่า สหรัฐอเมริกาควรจะมี “ผู้เชี่ยวชาญด้านจีน” เข้ามาทำงานนี้มากกว่าการที่กระทรวงต่างประเทศรับหน้าเสื่ออยู่เพียงลำพัง

“สิ่งที่ผมอยากจะเห็นก็คือ รัฐบาลวอชิงตันควรรีบไปรวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านประเทศจีนจากหน่วยงานอื่น เช่น กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ แม้กระทั่ง NASA เพื่อรับมือความท้าทายของจีน ซึ่งกำลังมองว่าตนเป็นมหาอำนาจแล้วในขณะนี้” Dean Cheng กล่าว และว่า

กระทรวงต่างประเทศสหรัฐอเมริกาควร “คิดนอกกรอบ” ด้านการทูตได้แล้ว เนื่องจากในขณะนี้ “จีน” ยังไม่คิดจะชนกับสหรัฐอเมริกาแบบตรงๆ เห็นได้จากกรณีไต้หวัน เพราะ “จีน” น่าจะพุ่งเป้าไปที่การเป็นคู่แข่งทางเศรษฐกิจ การเงิน และเทคโนโลยี กับสหรัฐอเมริกามากกว่า

“โครงการ China House จึงเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของสหรัฐอเมริกา ในการชิงไหวชิงพริบ ชิงจังหวะออกหมัดก่อนจีนเสียมากกว่า” Dean Cheng ทิ้งท้าย

 

อย่างไรก็ดี การเกิดขึ้นของ China House นอกจากจะเป็น “การทำงานแบบบูรณาการทีมของ ‘กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ'” ที่จะทำงานประสานกัน และนำเสนอนโยบายของกระทรวงในทุกๆ เรื่อง และทุกๆ ภูมิภาคแล้ว

ยังเป็นการเปิดโอกาสให้หน่วยราชการลับต่างๆ ของสหรัฐเร่งทำการติดตาม และรวบรวมข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับรัฐบาลจีนอย่างไม่ลดละ

ซึ่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลกรุงวอชิงตันรายหนึ่งได้ออกมายอมรับว่า ความพยายามดังกล่าวอาจนำไปสู่การสอดแนมและเก็บข้อมูลชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ซึ่งหมายถึงการล่วงละเมิดเสรีภาพพลเมืองของประเทศได้

เช่น ชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ที่ติดต่อกลับไปหาญาติหรือเพื่อนฝูงที่อยู่เมืองจีน มีโอกาสที่จะถูกดักฟังได้ง่ายกว่าคนอเมริกันกลุ่มอื่น