จนกว่าเราจะไม่พบกันอีก | คำ ผกา

คำ ผกา

ข้อมูลเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 ผู้ป่วยได้รับการรักษา 25,767 ราย อาการหนัก 563 ราย ใช้เครื่องช่วยหายใจ 150 ราย

ฉันมีข้อมูลเท่าที่หาได้จากข่าวเมื่อ 16 เมษายน 2563 ว่า ประเทศไทยมีห้องไอซียู 6,000 เตียง มีเครื่องช่วยหายใจ 10,000 เครื่อง พร้อมใช้งานในภาวะวิกฤต 4,000 เครื่อง – ตัดประเด็นว่า เตียงไอซียูมีไว้สำหรับผู้ป่วยอื่นๆ ที่ไม่ใช่โควิดด้วย

ตามรายงานข่าวบอกว่าเรามีเตียงไอซียูสำหรับผู้ป่วยโควิดอาการหนัก (ปี 2563 เดือนพฤษภาคม ที่ 292 เตียง)

https://www.hfocus.org/content/2020/04/18960

ความงงของฉัน (อันอาจเกิดมาจากมีข้อมูลไม่เพียงพอ) คือเมื่อมีภาวะโวยวาย ฟูมฟายกันหนักมากว่า ป้อมค่ายเมืองกรุงแตกแล้ว – อารมณ์เหมือนดูละครดราม่าเสียกรุง (ที่ไม่ใช่ประวัติศาสตร์แต่เป็นนิยายอิงประวัติศาสตร์)

ฉันก็งงว่า ผู้ป่วยอาการหนักทั่วประเทศมีแค่ 563 รายนี้มันจะเหลือบ่ากว่าแรงทรัพยากรทางสาธารณสุขของเราได้อย่างไร?

ยิ่งมีข่าวว่า มีผู้สงสัยว่าติดเชื้อกักตัวเองอยู่ที่บ้าน สุดท้ายตายคาบ้าน

ย้ำว่าตายโดยไม่แม้แต่จะมีโอกาสเข้าตรวจ อย่าว่าจะได้รับการรักษา หรืออาม่าสามคนที่ตรวจพบติดเชื้อโควิดแต่ไม่ได้รับการรักษาจึงตายอยู่ในบ้าน

อ่านแล้วเป็นใครก็ต้องงงว่า นี่ประเทศไทยไม่ได้ติดวันสองหมื่นราย เป็นไปได้อย่างไรที่เราจะไม่มีเตียง ไม่มีรถพยาบาลรับ-ส่งคน ไม่มีห้องให้ผู้ป่วยจากการติดเชื้อโควิดได้รับการรักษา – ฮัลโหล – คนที่อาการหนักทั่วประเทศมีแค่ 563 รายเท่านั้นเอง

และในขณะเดียวกันก็มีข่าวใหญ่โตเรื่องการะดมทรัพยากรสร้างโรงพยาบาลสนาม

มีดราม่าทหารเกณฑ์เสียสละเตียงให้โรงพยาบาลสนาม

มีดราม่าบุคลากรทางการแพทย์จะตายอยู่แล้วเพราะงานที่โรงพยาบาลสนามมันหนักมากจริงๆ มีข่าวคนใหญ่คนโต

นายกรัฐมนตรี รัฐมนตี พลเอก พลโทต่างๆ ยาตราทัพไปตรวจโรงพยาบาลสนามเป็นการเอิกเกริก ราวกับจะบอกว่า ประเทศชาติวิกฤตแล้ว

และท่านคนใหญ่คนโตต่างก็ทำงานหนักกันเหลือเกินในการดูแลไพร่พลในสังกัด – โอ๊ย มันขาดแคลนไปทุกหย่อมหญ้า – เดี๋ยวจะเอาเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนมาเป็นเวรเปลนะ

เดี๋ยวจะเอาบุคลากรทางการแพทย์ของกองทัพมาช่วยรับมือกับวิกฤตนี้

ทีนี้รู้หรือยังว่าทหารมีไว้ทำไม

และคนที่จะปลื้มปริ่มกับข่าวเหล่านี้อย่างถึงจุดสุดยอดคือมนุษย์สลิ่ม กระซิกๆ น้ำตาไหล ดูสิ ทหารหาญของเรา เฝ้าปิดทองหลังพระ เสียสละทุกอย่างแม้กระทั่งเตียงนอน แต่พวกชังชาติมันหาเรื่องใส่ร้าย ไม่รู้สำนึกในบุญคุณ

ย้อนกลับไปที่ตัวเลขว่า เรามีผู้ติดเชื้อโควิด 25,767 ราย (วันที่ 26 เมษายน) สิ่งที่เราพึงทราบจากหน่วยงานราชการที่รับผิดชอบ (คือ กูงงแล้วว่ากูควรทวงความรับผิดชอบจาก ก.สาธารณสุข หรือ ศบค.) ในสองหมื่นห้าพันกว่ารายนี้ มีผู้ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการกี่ราย?

ตัวเลขนี้สำคัญเพราะผู้ป่วยที่ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการไม่จำเป็นต้องได้รับการ “รักษา” สิ่งเดียวที่เราต้องเข้าไปดูแลคือ

ก. แยกผู้ติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่สุขภาพแข็งแรง กับกลุ่มที่มีโรคประจำตัว จำเป็นต้องได้รับการติดตามอาการอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ

ข. เฝ้าระวัง ติดตามอาการของพวกเขาอย่างใกล้ชิด เช่น ถ้าเกิดแสดงอาการขึ้นมาจะได้รับการดูแลอย่างทันท่วงที

ค. จัดสถานที่ “กักตัว” ให้พวกเขา ในกรณีที่พวกเขาไม่มีบ้านที่อำนวยให้การกักตัวเป็นไปได้ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นโรงพยาบาลสนาม การเลือกสถานที่กักตัวเป็นสองทางเลือก เช่น อยู่ในโรงแรมหรืออพาร์ตเมนต์ที่รัฐบาลจัดเตรียมให้ หรือไปเช่าโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์อยู่เองแล้วรัฐบาลรับผิดชอบค่าเช่าให้ – แล้วไม่ต้องไปคิดเล็กคิดน้อยว่า โห เปรมเลยสิ staycation กันฟรีๆ บันเทิง

ต้องมองว่ายิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัว นั่นคือได้ควบคุมโรค และได้ช่วยเหลือธุรกิจโรงแรมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด

หลังจากนั้นก็ให้ผู้ติดเชื้อรับผิดชอบตัวเองในเรื่องการวัดไข้ วัดชีพจร ด้วยอุปกรณ์ที่รัฐบาลเตรียมไว้ให้ ใช้แอพพลิเคชั่นแทร็กกิ้ง ติดตามตัว ติดตามอาการ

ครบ 14 วันตรวจอีกรอบ ถ้าผลเป็นลบก็กลับไปใช้ชีวิต ระหว่างกักตัวก็ให้เขามีไวไฟ มีอาหารดีๆ กิน มีคลิปออกกำลังกายให้ทำตาม

คนที่ไม่มีอาการเลยโดยสิ้นเชิงก็ใช้โอกาสกักตัว 14 วันเป็นการพักผ่อน รีทรีตตัวเอง หรือทำงานส่งออฟฟิศทางออนไลน์ได้

ตามข้อมูลพบว่าผู้ติดเชื้อโควิดร้อยละ 80 ไม่แสดงอาการ ถ้าเรามีผู้ติดเชื้อโควิด 25,767 คน ก็แปลว่ามีผู้ป่วยจากการติดเชื้อโควิดที่ต้องการ “โรงพยาบาล” แค่ 5,153 คนโดยประมาณ

พูดแบบบ้านๆ คือมีคนต้องการแค่การกักตัวสองหมื่นคน และอีกห้าพันกว่าคนเท่านั้นที่ต้องเข้าโรงพยาบาล

ย้ำว่าห้าพันคนทั่วประเทศเท่านั้นที่ต้องการการรักษาแบบเต็มรูปแบบในโรงพยาบาล และด้วยตัวเลขนี้ หากบริหารจัดการกันจริงๆ แล้วไม่มีอะไรที่จะไปล้น ป้อมแตก ทำโรงพยาบาลสนาม บริจาคเงิน น้ำ ข้าวปลาอาหารใดๆ ทั้งสิ้น

และไม่ควรมีใครไม่ได้เตียง ไม่ได้ห้อง อย่างที่เป็นข่าว

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ รัฐไทยเลือกจับผู้ติดเชื้อทุกคนไปไว้ในมือหมอ หรือไปรับการ “รักษา” หรือกักตัวแบบมีทีมแพทย์ฟูลออพชั่นดูแล มันก็หายนะสิ จะเอาอะไรมารองรับไหว

ไม่นับระบบ call center บุโรทั่งอย่างที่เป็นข่าว นี่ยังไม่นับว่า ดารา เซเลบ ไฮโซ นักการเมือง คนใหญ่คนโต คนมีเส้น พริตตี้ เด็กเอนท์ของคนใหญ่คนโตพะนะนายหัวเจ้าท่านทั้งหลายที่ได้รับเชื้อโควิดก็พากันได้รับการดูแลรักษา พากันนอนโรงพยาบาล มีหมอ พยาบาลมาประคบประหงมกันแบบโคตรโคตรโคตรวีไอพีเข้าไปอีก

ไม่พังวันนี้จะพังวันไหน

และใครๆ ก็รู้ว่าการรับมือกับโควิดที่ยั่งยืนที่สุด ในยามที่โลกมีวัคซีนให้เลือกอย่างหลากหลายนั้น – ย้ำ – ว่ามันคือการจัดหาวัคซีนให้ได้เร็วที่สุด

ไม่ใช่การออกมาขู่ว่า จากตัวเลขนี้ หากประชาชนยังแรดๆ แท่ดๆ ร่านๆ ไม่ยอมอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะทวีคูณ แม้แต่ป่าช้าก็จะไม่พอเผาศพ ระบบสาธารณสุขจะล่มสลาย บลา บลา บลา

ฮัลโหล โลกนี้มีวัคซีนแล้ว หมอทั้งหลายช่วยกระทุ้งรัฐบาลต่อเนื่องว่า วัคซีนต้องมาได้แล้วโว้ยยย อย่ามาแถว่า หน้ากากคือวัคซีน การล้างมือคือวัคซีน ให้ช่วยกันคนละไม้คนละมือ

คนมีสมองเพียงเล็กน้อยทุกคนรู้ว่า เราไม่สามารถ “ฟรีซ” คนและกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้ตลอดไป เราสามารถ “ฟรีซ” ทุกอย่างไว้ชั่วคราวในยามโรคระบาด

แต่การฟรีซนั้นเป็นการฟรีซบนฐานคิดที่ว่า วันไหนที่มีวัคซีน เราต้องกระโจนใส่วัคซีนให้เร็ว และเราจะออกไปทำมาหากิน เด็กจะได้ไปโรงเรียน โรงมหรสพ กีฬาต่างๆ ก็จะกลับเปิดได้ดังเดิม

แต่สิ่งที่รัฐไทยที่ฉันไม่แน่ใจว่าพวกเขาเอาสมองไปฝากไว้ที่ธนาคารไหนทำกลับเป็นสิ่งที่ตรงกันข้าม

นั่นคือออกมาขู่ให้ประชาชน “ฟรีซ” ตัวเอง – อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ

โดยที่ไม่มีคำมั่นสัญญาเรื่องวัคซีนที่น่าเชื่อถือ วันนี้พูดอย่าง อีกวันพูดอีกอย่าง วันนี้พูดว่าเรารวย อีกวันพูดว่าเราจน วันนี้พูดว่าเราจะเป็นหนูทดลองให้วัคซีนตัวไหน ใครอยากซื้อก่อนเชิญ

อีกวันพูดว่าให้กราบก็ยอม ขอให้ได้วัคซีน

เผลอไปไม่กี่วันบอก เราจะให้เอกชนเข้าโครงการวัคซีนทางเลือก แบ่งเบาภาระรัฐบาล

หือมมม อะไรนะ – ก่อนหน้านี้ หลายๆ เทศบาลบอก เราจะซื้อวัคซีนเอง รัฐบาลบอกดีเหมือนกัน อีกสอง-สามวันบอก ไม่ได้ อันนี้เป็นเรื่องระหว่างรัฐบาลกับรัฐบาล ท้องถิ่นจัดหาเองไม่ได้

โอ๊ย กูงงไปหมดแล้ว

สุดท้ายได้วัคซีนมาสองยี่ห้อ แบบกะปริบกะปรอย

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ออกมาท้วงว่าเหมือนแทงม้าตัวเดียว ก็แจ้งความจับเขาแล้วเกทับว่า เราแทงม้าตัวเต็ง – โว้ย

วันดีคืนดี ประยุทธ์ออกมาว่า ออกคำสั่งแล้ว สิ้นปีนี้ได้ฉีดทุกคนแน่นอน แต่จะได้อย่างไร ได้ยี่ห้ออะไร ไปทำสัญญากับบริษัทไหนมาบ้างแล้ว และศักยภาพในการฉีดวัคซีนของเราเต็มที่ได้วันละกี่โดส ไม่พูด ไม่บอก ไม่อธิบาย เพราะเจ้าประคุณรุนช่องประยุทธ์คงคิดว่าการบริหารประเทศมันง่าย นายสั่งอะไรต้องได้ตามนายว่า ลืมไปว่านี่ไม่ใช่การสั่งลูกน้องให้เลิกขายผัดกะเพราในสโมสรทหารบก แต่หมายถึงการบริหารการกระจายวัคซีนที่ต้องใช้องค์ความรู้อันละเอียดถี่ถ้วนทั้งทางรัฐศาสตร์ สาธารณสุขศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีการออกแบบระบบที่ง่าย เร็ว ประหยัด มีประสิทธิภาพ อันไม่ใช่เรื่องยากอะไร

เพียงแต่ผู้มีอำนาจที่ไม่รู้โลกและสมองเริ่มเสื่อม ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจว่านี่คือสิ่งที่ต้องทำ และการบริหารประเทศไม่อาจสัมฤทธิผลได้ด้วยการออกคำสั่งอย่าง “เด็ดขาด” โดยปราศจากความรู้

ระหว่างที่ยังทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ก็ฆ่าเวลาด้วยการปล่อยให้ลิ่วล้อออกมา exercise อำนาจด้วยการออกกฎประหลาดๆ เช่น ต้องใส่หน้ากากถ้าอยู่ในรถเกินสองคนแม้เป็นครอบครัวเดียวกัน (แต่กลับบ้านเขาก็ถอดหน้ากากนั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ดี)

หรือบังคับพิธีกรรายการทีวีทุกคนสวมหน้ากาก แต่ดีเจวิทยุไม่เป็นไร เพราะไม่มีใครเห็น?

ว่างจัดก็ส่งผู้ว่าฯ กทม.ไปปรับประยุทธ์หกพันโทษฐานไม่ใส่หน้ากากให้สลิ่มถึงจุดสุดยอดว่านายกฯ เป็นคนดีเหลือเกิน เคารพกฎหมาย

จากนั้นก็สั่งปิดกิจการนู่น นั่น นี่ ปิดสวนสาธารณะบ้าง ห้ามขายเหล้าบ้าง เปิดร้านอาหารได้ไม่เกินสามทุ่มบ้าง ปิดสนามกีฬาหลังหกโมงเย็นบ้าง

และอะไรอีกหลายอย่างที่เราหาความเชื่อมโยงทางตรรกะของคำสั่งเหล่านั้นกับการควบคุมโรคไม่ได้

และทั้งหมดนี้ก็บอกว่าไม่ล็อกดาวน์ เพราะใช้คำว่าล็อกดาวน์เมื่อไหร่ต้องมีการชดเชย เยียวยา สันดานก็ไม่อยากรับผิดชอบเรื่องเยียวยา ก็ปล่อยไหลให้ทุกอย่างเละตุ้มเป๊ะไปตายถากรรม ชะเอิงเอย

ปัญหาเศรษฐกิจหมักหมม เครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจดับสนิททุกตัว

เข้าตาจนถึงขั้นให้คนเอาเงินออมออกมาใช้เพื่อชาติ

มีคนป่วยด้วยโควิดแค่ห้าร้อยกว่าคน ยังเสือกมีปัญหาเรื่องไม่มีเตียง ไม่มีรถ ไม่มีใครรับโทรศัพท์ และมีคนตายคาบ้าน

มาถึงขั้นนี้ยังมีสลิ่มที่คิดว่ารัฐบาลนี้ดีเหลือเกิน

ยังมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ผู้บริหารมหาวิทยาลัย นายแพทย์ แพทย์หญิง บุคลากรทางการแพทย์ที่เฝ้าเป่าก้นให้เผด็จการอย่างไม่รู้ผิดชอบชั่วดี

ฉันปวารณาตัวว่าจะด่า ด่า ด่า และด่า รวมทั้งแช่งชักหักกระดู ประจาน ประณาม จะหยาม จะเหยียด จะแฉ จะกระชากหน้ากากสลิ่มที่พยายามจะชุบตัวทุกคนให้จนไม่มีที่อยู่ที่ยืนในสังคม

และใครมาดัดจริตสันติวิธีคุยกันดีๆ หาแนวร่วมเพิ่มก็จะถูกฉันจัดไปกองไว้ในกลุ่มโจรด้วยเช่นกัน

ฉันจะด่าสลิ่มจนกว่าเราจะไม่พบกันอีก