ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ : กอบกู้ประเทศ จากระบอบที่ไร้อนาคต

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

การคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยเครือข่ายคุณประยุทธ์ จันทร์โอชา ในพลังประชารัฐและ ส.ว.คือหลักฐานว่าคุณประยุทธ์จะทำทุกทางเพื่อยึดครองประเทศไปอีกหลายปี เพราะเมื่อไม่มีการตัดอำนาจวุฒิสภาในการเลือกนายกฯ ก็เท่ากับ 250 ส.ว.ที่คุณประยุทธ์ตั้งมาเลือกตัวเองจะมีอำนาจนี้ถึงปี 2567 ตามวาระห้าปี

ด้วยพฤติกรรมหวงแหนอำนาจทั้งที่ได้มาโดยกระบอกปืนและกติกาที่เขียนภายใต้กระบอกปืน ไม่ว่าคุณประยุทธ์จะยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่อีกกี่ครั้งภายในปี 2567 วุฒิสมาชิกก็จะเลือกคุณประยุทธ์กลับมาเป็นนายกฯ ทุกครั้ง

คุณประยุทธ์จึงมีโอกาสเป็นนายกฯ ได้ถึงปี 2571 หรือต่อจากปัจจุบันอีก 7 ปี

จากการตั้งตัวเองเป็นนายกฯ โดยใช้รถถังรัฐประหารปี 2557

การคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำให้คุณประยุทธ์เป็นนายกฯ ติดต่อกัน 14 ปีไปจนถึงปี 2571

ซึ่งเมื่อเทียบกับจอมพล ป. ที่เป็นนายกฯ พ.ศ.2481-2487 และ พ.ศ.2491-2500 คุณประยุทธ์จะเป็นนายกฯ ติดต่อกันนานที่สุดในประเทศไทย

เจ็ดปีแรกของระบอบประยุทธ์จาก 2557 ถึง 2564 คือเจ็ดปีที่ประเทศไทยถดถอยลงทุกวัน เศรษฐกิจที่เคยโต 1-2% ตกต่ำเป็นติดลบ 6% ประชาธิปไตยที่เคยดีบ้างไม่ดีบ้าง กลายเป็นระบอบการปกครองที่เลวร้ายไปหมด ไม่ต้องพูดถึงความสงบในประเทศที่ยิ่งนานรัฐบาลยิ่งทำให้คนไทยขัดแย้งกัน

สังคมไทยมีความขัดแย้งทางความคิดเรื่องประชาธิปไตย VS เผด็จการมาตั้งแต่ชนชั้นนำยุคพันธมิตรฯ ม็อบเรียกทหารปฏิวัติในปี 2549 แต่เจ็ดปีที่คุณประยุทธ์ใช้เล่ห์เหลี่ยมยึดทำเนียบสำเร็จ คุณประยุทธ์ทำให้การใช้กระสุนยางยิงประชาชนเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับการยิงสื่อและการสลายชุมนุม

ด้วยวิธีที่คุณประยุทธ์ตอกลิ่มความขัดแย้งเพื่อจรรโลงอำนาจตัวเอง ประเทศไทยวันนี้มาถึงจุดที่คนใส่เสื้อเหลืองหรือผูกผ้าพันคอสัญลักษณ์สถาบันต่างๆ รุมเอาไม้หน้าสามตีผู้ชุมนุมวันที่ 20 มีนาคม ตบผู้ชายที่ชูสามนิ้ว รวมทั้งถีบท้องผู้หญิงที่แสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับการปลุกระดมเรื่องสถาบัน

ล่าสุด คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ถึงขั้นเกิดเหตุการณ์ที่คณบดีเก็บงานศิลปะของนักศึกษาไปทิ้งขยะ

ข้ออ้างของคนกลุ่มนี้คือผลงานนักศึกษามีนัยยะทางการเมือง ขณะที่นักศึกษาและอาจารย์ยืนยันว่าการแสดงออกทางศิลปะเป็นสิทธิเสรีภาพ รวมทั้งเป็นทรัพย์สินส่วนบุคคล

ประเทศไทยหลังรัฐประหาร 2557 ไม่ใช่ประเทศที่ดี แต่เจ็ดปีหลังรัฐประหาร 2557 ทำให้ประเทศที่ไม่ดีอยู่แล้วกลายเป็นประเทศที่เลวร้ายลงไปทั้งในแง่การใช้กำลังของรัฐต่อประชาชน, การใช้ความรุนแรงที่ผู้สนับสนุนรัฐบาลทำกับประชาชน และความสามารถในการบริหารประเทศของรัฐบาล

เทียบตรรกะแบบบัญญัติไตรยางศ์ธรรมดา เมื่อเจ็ดปีแรกที่คุณประยุทธ์ครองอำนาจจากปี 2557-2564 เป็นแบบนี้ เจ็ดปีหลังของระบอบประยุทธ์จากปี 2564 จนถึง 2571 ก็น่าจะทวีความเลวร้ายยิ่งขึ้นจนเป็นไปได้ว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบ 6 ตุลาคม 2519 และหายนะทางเศรษฐกิจครั้งสำคัญ

คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยพูดในการเลือกตั้ง 2562 ว่าคุณประยุทธ์เป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้งในสังคม และหากคุณประยุทธ์ได้เป็นนายกฯ ด้วยวุฒิสมาชิกที่ตั้งเอง คุณประยุทธ์จะผลักดันให้สังคมไทยเดินหน้าสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก และสถานการณ์ในประเทศตอนนี้ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ

ถ้าความขัดแย้งหลักของประเทศในปี 2562 คือการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีที่ประชาชนต้องการ การล้มล้างกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญที่คุณประยุทธ์ทำผ่านพรรคพลังประชารัฐและ ส.ว.ก็บอกคนทั้งประเทศว่าคุณประยุทธ์ต้องการเป็นนายกฯ ตลอดชาติ ต่อให้จะสวนทางความต้องการประชาชน

ประเทศไทยในปี 2563 มีความขัดแย้งทางการเมืองรุนแรงอย่างที่ทุกคนรู้กัน แต่ความขัดแย้งอยู่ในขอบเขตเท่าที่ผ่านมาเพราะความไม่พอใจบนท้องถนนถูกแปรรูปเป็นกระบวนการแก้รัฐธรรมนูญ

จากนั้นความขัดแย้งก็ลุกลามเมื่อสังคมมองว่าคุณประยุทธ์ไม่มีทางยอมให้การแก้เกิดขึ้นจริงๆ

จริงอยู่ว่าความขัดแย้งในเวลานี้ลุกลามสู่เรื่องใหญ่ในเขตอันตราย แต่ถ้ารัฐบาลไม่แสดงออกว่ามีแผนล้มการแก้รัฐธรรมนูญในปี 2563 ความขัดแย้งที่ยกระดับสู่เรื่องต้องห้ามจนถึงปี 2564 ก็ไม่มีทางขยายตัวจนมีคนโดนลงโทษด้วยกฎหมายอาญา ม.112 มากเป็นประวัติการณ์ในปัจจุบัน

ด้วยการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่คุณประยุทธ์ทำผ่านพลังประชารัฐและ ส.ว. ความไม่พอใจบนท้องถนนไปไกลเกินกว่าจะมีสถาบันการเมืองใดดูดซับไม่ให้ระเบิดได้อีก

คุณประยุทธ์ทำลายสภาจนคนไม่เชื่อสภาคือทางออก

ไม่ต้องพูดถึงศาลซึ่งมีคนที่เชื่อว่าธำรงความยุติธรรมน้อยลงทุกวัน

 

ทันทีที่รู้ว่าคุณประยุทธ์คว่ำการแก้รัฐธรรมนูญผ่านพลังประชารัฐและ ส.ว. คุณอภิสิทธิ์ออกมาพูดอีกครั้งว่าความไม่พอใจของคนจะรุนแรงขึ้น สถาบันการเมืองถูกมองว่าไม่ใช่ทางออกของประเทศ คนที่คิดแบบผู้ชุมนุมจะมีมากขึ้น ต่อให้คนจะไม่ไปชุมนุม ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะเห็นด้วยกับรัฐบาล

สำหรับคนที่รักประเทศจริงๆ ไม่ใช่พูดว่ารักเพื่ออวย เพื่อให้ประยุทธ์เป็นนายกฯ หรือเพื่อเป็นข้ออ้างกระทืบเพื่อไทย ก้าวไกล คนรักประชาธิปไตย ฯลฯ คำถามสำคัญคือเราจะมีประเทศที่ดีได้อย่างไรในเวลาที่รัฐบาลพึ่งไม่ได้ ขยันตอกลิ่มสร้างความขัดแย้ง และคนส่วนใหญ่ไม่สนับสนุนรัฐบาล

สื่ออาวุโสที่ได้ชื่อว่าโดดเด่นเรื่องพูดตรงเคยบอกผมว่าหนทางที่ประเทศไทยจะออกจากความขัดแย้งคือคุณประยุทธ์ต้องลาออก, ยุบสภา หรือไม่ก็ต้องตาย และในเมื่อคุณประยุทธ์ไม่มีวี่แววว่าจะลาออกหรือยุบสภา โอกาสเดียวที่ประเทศจะพ้นความขัดแย้งคือต้องรอให้คุณประยุทธ์ตายไปเอง

แน่นอนว่าคำพูดนี้เป็นตลกร้ายจนใครได้ยินก็ต้องอึ้งไปพร้อมๆ กัน แต่ภายใต้ความตลกร้ายคือความเจ็บปวดที่บุคคลซึ่งกระหายอำนาจเพียงคนเดียวมีผลต่อชะตากรรมของประเทศขนาดนี้ ที่เจ็บปวดกว่าคือคำพูดนี้ไม่ไกลเกินจริง

และที่เจ็บปวดที่สุดคือความตายอาจไม่ทำให้เรื่องนี้จบลง

เป็นเวลาสองสามเดือนแล้วที่ข่าวเครือข่าย คสช.เตรียมตั้งพรรค “รวมไทยสร้างชาติ” ดังขึ้นทุกวัน และถึงแม้ไม่มีใครยอมรับเรื่องนี้ตรงๆ ทุกคนก็พอรู้ว่าพรรคนี้สร้างขึ้นเพื่อขยายอำนาจคุณประยุทธ์ต่อจากพลังประชารัฐและ ส.ว.โดยเฉพาะการดึงคนกลุ่มต่างๆ ที่อยู่นอกสองเครือข่ายออกไป

ตรงข้ามกับความรู้สึกสิ้นหวังของคนไทยภายใต้รัฐบาลปัจจุบัน สิ่งที่คุณประยุทธ์กำลังทำคือดึงแนวร่วมใหม่ๆ เพื่อมาสืบทอดอำนาจระบอบประยุทธ์ให้อยู่ต่อยาวนานยิ่งขึ้น ไม่ใช่ความพยายามปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มอื่นในสังคม

ไม่ว่าแผนการสร้างพรรครวมไทยสร้างชาติจะเน้นไปที่นักการเมืองเก่าจากพรรคเดิม หรือใช้ข้าราชการเก่าเป็นเครื่องมือ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือคุณประยุทธ์เล่นการเมืองโดยสร้างอำนาจต่อรองทางการเมืองของตัวเองให้มากขึ้น

ราวกับจะให้ประเทศนี้มีทางเลือกแค่พวกประยุทธ์กลุ่มเดียว

เจ็ดปีในตำแหน่งนายกฯ เป็นระยะเวลาที่นานพอจะทำให้ประเทศเจริญ แต่เจ็ดปีในระบอบไพร่ก็นานพอจะทำให้ประเทศตกต่ำอย่างที่สุด คุณประยุทธ์ช่วงที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในการกำจัดคู่แข่งอย่างคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, คุณอภิสิทธิ์ ฯลฯ

แต่ไม่ประสบผลในการชนะใจประชาชนเลย

ประเทศไทยหลังคุณประยุทธ์ล้มแก้รัฐธรรมนูญเดินหน้าสู่ความรุนแรงมากขึ้นทุกวัน ผู้ชุมนุมแบบสงบสันติถูกกลบด้วยการชุมนุมที่รุนแรง การแสดงออกความรู้สึกนึกคิดของประชาชนถูกรัฐยัดคดี 112 – คณบดีขโมยงานศิลปะนักศึกษาไปทิ้ง – ตำรวจฉีกรูปแกนนำราษฎรจากบ้านประชาชน ฯลฯ

สำหรับคนที่มีสติสัมปชัญญะสักนิด ทุกอย่างในประเทศกำลังเดินหน้าไปสู่ความมอดไหม้ และหากไม่มีใครสักคนหยุดเส้นทางหายนะของประเทศให้ได้เร็วที่สุด ระบอบการปกครองที่วางอยู่บนการปิดปากประชาชนจะสร้างแรงต้านจนเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่ไม่มีใครรู้ว่าจะจบอย่างไร

ด้วยอัตราเร่งที่คุณประยุทธ์กำลังสุมไฟให้ประเทศเกิดความขัดแย้งอย่างปัจจุบัน การไม่มีคุณประยุทธ์เป็นผู้นำประเทศคือทางออกที่ดีกว่าการปล่อยให้คุณประยุทธ์เป็นผู้นำประเทศต่อไป เพราะผู้นำแบบนี้สร้างความเจริญให้ประเทศไม่ได้ ทำได้แค่การทำทุกวิถีทางเพื่อรวบอำนาจไว้ที่ตัวเอง

ประเทศไทยวันนี้ต้องมีนายกรัฐมนตรีที่ดีกว่าคนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน