ภาพยนตร์ : SONGBIRD ‘โควิด-23’ / นพมาส แววหงส์

นพมาส แววหงส์

SONGBIRD

‘โควิด-23’

 

กำกับการแสดง

Adam Mason

นำแสดง

K.J. Apa

Sofia Carson

Demi Moore

Bradley Whitford

Peter Stormare

หนังเรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นการชิงสร้างตัดหน้ารายอื่นๆ เพื่อหวังผลเก็บเกี่ยวหรือกอบโกยในช่วงวิกฤตการณ์โรคระบาดมหากาฬที่เพิ่งเวียนมาคุกคามคร่าชีวิตมนุษยชาติอีกครั้งในรอบร้อยปี

แล้วก็ดูเหมือนจะเป็นหนังเรื่องแรกที่ออกฉายเกี่ยวกับโรคระบาดระดับมหัพภาคที่ชื่อ “โควิด” โดยเฉพาะในช่วงที่ภัยร้ายแรงนี้ยังไม่จางหายไป แถมดูจะยิ่งเลวร้ายอยู่ในช่วงการระบาดระลอกสองระลอกสามที่รุนแรงอยู่ในขณะนี้

แม้จะดูเหมือนมีแสงสว่างเรืองรองรอคอยอยู่ที่ปลายอุโมงค์ ด้วยวัคซีนที่กำลังจะมาถึง

โควิด-19 เตือนให้เราระลึกได้ว่าประวัติศาสตร์มนุษยชาติเคยได้เจอกับภัยร้ายแรงเยี่ยงนี้มาแล้วตั้งแต่ครั้งโบราณกาล…จะว่าไปก็คงมีมาแล้วตั้งแต่ครั้งรุ่งอรุณแห่งอารยธรรม เพราะกวีคนแรกที่เรารู้จักในอารยธรรมตะวันตก คือ โฮเมอร์ เคยพูดถึง “มรณะสีดำ” (Black Death) มาแล้ว

“มรณะสีดำ” สยายปีกปรากฏชัดอีกหลายครั้งทั่วโลก โดยเฉพาะที่มีบันทึกไว้ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 ที่คร่าชีวิตประชากรโลกไปตั้งครึ่งค่อน

และเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ยี่สิบนี้เอง…ครบรอบหนึ่งร้อยปีพอดิบพอดี…โลกเราก็ต้องเผชิญหน้ากับโรคระบาดระดับมหากาฬที่เรียกว่า The Spanish Flu (1918-1920) ซึ่งมีผู้คนติดเชื้อกันราว 500 ล้าน และอาจจะเสียชีวิตไปถึง 100 ล้านคน…นับเป็นการระบาดของเชื้อโรคครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

ดีแต่ว่า “ไข้หวัดสเปน” ครั้งนั้นเกิดขึ้นในช่วงเดียวกับสงครามที่ลุกลามแผ่ขยายไปทั่วโลกซึ่งเรารู้จักกันในนาม “สงครามโลกครั้งที่หนึ่ง” จึงดูเหมือนกับว่าความรุนแรงของโรคระบาดจะถูกกลบไว้ภายใต้หายนภัยของสงคราม

ตลอดช่วงปี 2020 คงไม่มีใครไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างน้อยที่สุดก็ในด้านวิถีชีวิตที่ต้องปรับเปลี่ยนไปด้วย “วิถีปกติแบบใหม่” หรือ New Normal ที่ต้องสวมหน้ากาก รักษาระยะห่าง และรักษาความสะอาดและสุขอนามัยประหนึ่งคนที่ป่วยเป็นโรคประสาทแบบกลัวเชื้อโรคสุดฤทธิ์

Songbird วางท้องเรื่องไว้ในอนาคตอันไม่ไกลจากนี้ คือ ค.ศ.2024 ซึ่งก็คืออีกสามปีข้างหน้าจากปัจจุบัน

ณ เวลาในโลกสมมตินั้น โคโรนาไวรัสได้กลายพันธุ์แปรรูปไปมากแล้ว กลายเป็น “โควิด-23” ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต และติดกันง่ายมาก เพราะแพร่เชื้อไปทางอากาศ

สถานที่ที่เกิดเหตุในหนังคือเมืองลอสแองเจลิสซึ่งเป็นเมืองใหญ่ แต่บัดนี้ดูเหมือนกลายเป็นเมืองร้างไปเสียแล้ว ถนนหนทางว่างเปล่าแทบไม่มีรถราสัญจร

พระเอกของเราคือนิโก (เค.เจ.อาปา) ถีบจักรยานทะยานฉิวไปส่งพัสดุตามบ้านช่องของผู้คน โดยมีเจ้านายเจ้าของกิจการคอยดูแลการทำงานจากสัญญาณจีพีเอส

นิโกไปไหนมาไหนโดยไม่ต้องสวมหน้ากากปิดปากปิดจมูก เนื่องจากว่าเขาเป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยที่มีภูมิคุ้มกันที่ป้องกันไม่ให้เขาติดเชื้อรุ่นปี 23 นี้ โดยที่เขาสวมใส่กำไลข้อมือเป็นเครื่องบอกว่าเขาปลอดภัยจากเชื้อและไม่เป็นภัยคุกคามประชากรทั้งเมือง

เมืองลอสแองเจลิสทั้งเมืองถูกล็อกดาวน์ด้วยเคอร์ฟิวตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง คนส่วนใหญ่ต้องกักตัวอยู่แต่ในสถานที่ส่วนบุคคล ไม่สามารถออกนอกบ้านไปไหนมาไหนได้ หากไม่มีกำไลข้อมือที่บอกว่าเป็นคนมีภูมิคุ้มกัน

หาไม่ก็อาจถูกมาตรการขั้นสูงสุดปราบปรามถึงแก่ชีวิตได้ตามกฎอัยการศึก

ยอดผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดทั่วโลกพุ่งขึ้นถึง 110 ล้านคนแล้ว

การเฝ้าระวังการแพร่ระบาดทำกันอย่างเข้มข้น พัสดุต้องผ่านการฆ่าเชื้อด้วยรังสีอัลตราไวโอเล็ตก่อนการเปลี่ยนมือ ผู้คนต้องตรวจวัดอุณหภูมิตัวเองทุกวัน และหากใครมีไข้สูงและอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ก็จะต้องถูกพาตัวไปไว้ในเขตกักกันที่เรียกว่า “คิวโซน”

คำว่า quarantine กลายเป็นคำยอดฮิตที่ใช้กันจนชินหูซึ่งคนสมัยนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก ทั้งๆ ที่แต่ก่อนเคยเป็นศัพท์ที่ไม่คุ้นหูคนส่วนมากมาก่อน แต่สำหรับลอสแองเจลิสใน ค.ศ.2024 คิวโซนสำหรับหลายๆ คน ตัวคิวไม่ได้หมายถึงสถานที่กักกัน แต่หมายถึง quick death นั่นคือ คนที่อยู่ในนั้นต้องถึงแก่ความตายอย่างรวดเร็วฉับไวแน่นอน

นิโกพบรักกับสาวน้อยซารา (โซเฟีย คาร์สัน) จากความผิดพลาดของการไปส่งพัสดุผิดห้อง และติดต่อกันทางมือถือนานนับปี จนรักกันโดยไม่เคยเจอหน้ากันตัวเป็นๆ

ปัญหาก็คือยายของซาราติดเชื้อโควิด-23 ทำให้เธอซึ่งอยู่ร่วมบ้านต้องถูกพาตัวไปไว้ที่คิวโซน และนิโกยอมให้เป็นแบบนั้นไม่ได้ เขาต้องทำทุกอย่างเพื่อให้เธอยังอยู่กับเขา แม้จะหมายถึงเรื่องผิดกฎหมาย

ซึ่งคือการซื้อขายกำไลข้อมือเถื่อน เพื่อบอกว่าซารามีภูมิคุ้มกันและไม่ต้องถูกกักกันตัว

และสังคมก็มีคนหรือขบวนการที่คอยหาช่องโหว่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่สนใจต่อความอยู่รอดปลอดภัยของส่วนรวมเสมอ

ซึ่งก็คือครอบครัวกริฟฟิน ที่มีวิลเลียม (แบรดลีย์ วิตฟอร์ด) และไพเพอร์ (เดมี มัวร์) อยู่ในขบวนการนี้

มีเรื่องราวดราม่าของครอบครัวนี้มาเกี่ยวข้องด้วย แต่นั่นก็ไม่ใช่พล็อตหลักของหนังที่ดูเหมือนจะถ่ายทำด้วยความรีบร้อนจนไม่มีอะไรลงตัวเลย

ไม่ว่าจะเป็นการเดินเรื่อง หรือการพัฒนาตัวละคร หรือแม้แต่การใช้กล้องที่สะเปะสะปะ

ที่สำคัญกว่านั้น คือความคิดเบื้องหลังก็ไม่เข้าท่าที่สุด ไม่อยากแนะนำให้ใครดูด้วยซ้ำ เพราะนอกจากชูความรักเป็นสรณะแล้ว ก็ไม่รู้ว่าอะไรคือประเด็นที่ต้องการจะบอก

รู้สึกว่าเสียเวลาเปล่าโดยแท้