เกษียร เตชะพีระ | ปีที่ไม่เคยพบเคยเห็น

เกษียร เตชะพีระ

คําปรารภแห่งทศวรรษของอาจารย์ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เมื่อกว่าห้าปีก่อนที่ว่า :

“อะไรที่ไม่เคยเห็น ก็จะได้มาเห็น และอะไรที่เคยเห็น ก็อาจจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว” นั้น

ได้ปรากฏเป็นจริงยิ่งกว่าจริงคาตาคาหูคนไทยและชาวโลกในรอบปี พ.ศ.2563 ที่เพิ่งผ่านไป

ไม่ว่าโควิด-19 ระบาดทั่ว, การล็อกดาวน์ประเทศ, เศรษฐกิจหยุดชะงักเป็นอัมพาต, แฟลชม็อบ, การปฏิวัติการเมืองวัฒนธรรมบนท้องถนน, เสียงเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ฯลฯ

โดยเฉพาะที่น่าดีใจที่สุดสำหรับผม คือการที่สังคมไทยสามารถผ่านการชุมนุมประท้วงของมวลชนนับหมื่นนับแสน หลายต่อหลายระลอกในประเด็นขัดแย้งที่แหลมคมลึกซึ้งที่สุดอย่างไม่เคยมีมาก่อนได้โดยยังไม่ต้องเสียชีวิตใครไปเลยแม้แต่คนเดียว!

มันจึงนับเป็นปีที่น่าตระหนก หวั่นวิตก เศร้าสลด อึดอัด ตื่นเต้น เร้าใจ ดุเดือด ร้อนแรง ลิงโลด และเปี่ยมความหวัง

ในหลายปีที่ผ่านมา นอกจากสอนหนังสือ ตรวจข้อสอบ ค้นคว้าวิจัย ทำงานวิชาการ เขียนคอลัมน์และคอมเมนต์การเมืองเป็นครั้งคราวแล้ว อย่างหนึ่งที่ผมทำประจำคือเขียนกาพย์กลอนเรื่องการเมืองและอื่นๆ

คุณครูรุ่นพี่ผู้กรุณารับเป็นบรรณาธิการคัดสรรและเขียนคำนำรวมเล่มกาพย์กลอนเหล่านี้ของผม (น่าจะตีพิมพ์ออกมาได้ในปีนี้) ช่วยแจงนับให้ว่า “ตั้งแต่ 22 พฤษภาคม 2557 ถึง 27 ตุลาคม 2561 เกษียรแต่งบทกวีทั้งกาพย์กลอนและโคลงรวม 3,410 บท คำนวณคร่าวๆ ตกวันละไม่น้อยกว่า 2 ชิ้นเผยแพร่ในหน้าเฟซบุ๊กของเขาเองทุกวัน”

ท่านยังอธิบายต่ออย่างหยั่งรู้ใจคนเขียนกาพย์กลอนอย่างผมด้วยว่า :

“ไม่ใช่เขียนเพื่อบันทึกข้อเท็จจริงโดยละเอียด แต่เพื่อจะส่งเสียงของความสำนึกบางอย่าง…

“เป็นการบันทึกเหตุการณ์ แต่มิใช่การให้ “ข้อเท็จจริง” โดยละเอียดว่า เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ มีที่มาที่ไปอย่างไร แต่เขายกระดับเอาการกระทำของคนตัวเล็กๆ ที่ไร้อำนาจ ไร้ตำแหน่ง ขึ้นไปอยู่ในแถวหน้าของความมีวีรภาพที่จะเผชิญความเป็นความตายจากอาวุธตรงหน้า”

ปี 2563 ที่ผ่านไป ผมได้มีโอกาสบันทึกความสำนึกบางอย่างของตัวเองซึ่งได้แรงบันดาลใจจากความกล้าหาญ เข้มแข็ง จริงใจของคนตัวเล็กๆ ผู้ไร้อำนาจไว้ในรูปกาพย์กลอนเช่นเคย

และใคร่ขอนำมาแบ่งปันท่านผู้อ่านในคอลัมน์นี้บางส่วน…

หมดศรัทธา

หมดศรัทธาใช่ว่าเสียสติ สัมมาทิฐิมิได้สูญหาย

รู้ผิดชอบชั่วดีมิเสื่อมคลาย หยุดยั้งก่อนความตายจะลุกลาม

บุคคลป่วยหรือว่าสังคมป่วย บอกอย่างจริงใจด้วยกลับต้องห้าม

อยู่กับเปลือกปิดปดดูงดงาม ค้ำด้วยความขลาดเขลานานเท่าใด

ปิดฟ้าด้วยฝ่ามือ

ทิวากระจ่างแจ้ง จับตา

ส่องสว่างเวลา โลกรู้

แสงสาดแสบนัยนา หน่ายปิด

สองฝ่ามือฤๅสู้ สกัดฟ้าเฟือนสรวง

The Elephant in the Room

ช้างใหญ่เหยียบย่างอยู่กลางห้อง ข้าวของพังทลายกระจายเกลื่อน

ผู้ใหญ่ไม่เห็นช้างดั่งรางเลือน หุบเงียบเชียบเหมือนช้างไม่มี

พ่อหนูน้อยร้อยชั่งนั่งจุมปุ๊ก ยกมือลุกขึ้นพูดตูดช้างจี้

ช้างอยู่ในห้องเราเอานิ้วชี้ ผู้ใหญ่ดุหนูผีให้เงียบซะ

The Sound of Silence

การชวนคุยครั้งใหญ่ให้ลำบาก เพราะผู้ใหญ่ไม่อยากจะพูดถึง

แม้เสียงกาเสียงนกถกอื้ออึง แต่ผู้ใหญ่อ้ำอึ้งตะลึงงัน

ใครต่อใครก็รู้อยู่เต็มอก น้ำท่วมปากยากถกอยู่อัดอั้น

ต่างมาลันดูแกแลดูกัน เสียงเงียบที่สนั่นสะท้านใจ

เด็กผู้ใหญ่สนทนา

พวกเธอโตขึ้นมากับความเชื่อ ที่ล้นเหลือเฟือฟายมอบหมายให้

อาบน้ำร้อนก่อนเจ้าข้าเข้าใจ จนเธอหาเชื่อไม่ขอคิดเอง

การสั่งสอนเปลี่ยนเป็นสนทนา ไร้คำตอบล่วงหน้าที่ครัดเคร่ง

มากหลากหลายคำถามไม่คร้ามเกรง เด็กผู้ใหญ่บรรเลงบันลือไทยฯ

ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบ เธอเรียนรู้คำตอบคุณสอนสั่ง

ค้นเหตุผลหลักฐานเทียบการฟัง จนกระทั่งพินิจคิดเองเป็น

สัจจะอยู่หลังบทสนทนา แลกเปลี่ยนเพื่อค้นหาความรู้เห็น

ต่างอาจถูกอาจผิดคิดประเด็น ผลัดเรียนรู้เฉกเช่นครูนักเรียน

อนิจจังแห่งอำนาจ

อำนาจมีอำนาจมาอำนาจหมด อำนาจเถื่อนอำนาจถดอำนาจถอย

อำนาจลื่นอำนาจหลุดอำนาจลอย อำนาจจ้อยอนาถจิตอนิจจัง

เธอคือความหวัง

โอ้ความหวัง เจ้าเปล่งปลั่งงามเหมือนดั่งเดือนฉาย

ซึ่งคืนมืดหดหู่อยู่รอบราย จวบเพรางายแจ่มจันทร์ปลอบขวัญคน

ว่าถึงมืดแค่ไหนใจมองเห็น ว่ายาวนานยากเย็นไม่ย่อย่น

สุดขอบฟ้ารำไรได้เยี่ยมยล วันรุ่งเหล่าเยาวชนใจเต้นแรง

สนามราษฎร

หลวงกับราษฎร์เคยปันแบ่งกันใช้ หลวงล้อมรั้วรุกไล่ราษฎร์ไร้ที่

กลางแผ่นดินนามไทยราษฎร์ไม่มี ยืนเกาะรั้วนานปีละเหี่ยใจ

ไม่มีเสียงเกรียวกราวว่าวว่อนฟ้า ไม่มีคนธรรมดากล่าวปราศรัย

ไม่มีที่ร้องทุกข์ของทวยไทย สนามหลวงกลวงไกลไร้ราษฎร

ราษฎรดำเนินเต็มสนาม ยืนหลังตรงทวงถามสิทธิ์แต่ก่อน

เป็นของไทยถ้วนหน้าประชากร สนามราษฎร์เปิดต้อนรับปวงชนฯ

มืดฟ้ามัวดินทุกถิ่นที่ ไทยทั้งนั้นไม่มีรั้วกางกั้น

เจ้าของชาติทวงชาติประกาศพลัน น้ำตารื้นตื้นตันเอ่อเบ้าตา

ฝุ่นเป็นแสนเนืองแน่นเต็มสนาม ประกาศความจริงใจไปก้องหล้า

จารึกฝากฝังหมุดพสุธา จากทวยราษฎร์ถึงฟ้าได้โปรดฟังฯ

ฝังได้ก็ถอนได้ใช่เรื่องแปลก นี่ไม่ใช่หมุดแรกที่ถูกถอน

ถอนใหม่ก็ฝังใหม่ได้แน่นอน หมุดในใจราษฎรไม่คลอนแคลน

ยิ่งกดยิ่งสู้

ยิ่งถูกกดให้ก้มจมฝ่าเท้า ยิ่งหัวแข็งแกร่งกร้าวขึ้นเงยหน้า

ยิ่งหมดความนอบนบสบสายตา ไม่ใช่ฝุ่นใต้ฟ้าฝ่าเท้าใคร

คนเท่ากันรังแกก็แค่คน มิใช่เทพเบื้องบนถึงปางไหน

คุณงามความดีจริงจึงได้ใจ บังคับให้รักได้ที่ไหนกัน

เบ้าหลอมเสรีชน

เปียกน่ะเปียกโชกทั่วทั้งตัวเนื้อ เปื้อนน่ะเปื้อนสีเสื้อถูกฉีดใส่

เจ็บน่ะเจ็บสุดขั้วที่หัวใจ พวกเธอจึงเกิดใหม่และไม่ยอม

ล้มได้ก็ลุกได้ไม่ต้องห่วง ถอยเพื่อรุกบุกทวงไม่ค้อมอ้อม

กัดฟันปาดน้ำตามาพรักพร้อม ผ่านเบ้าหลอมเยี่ยงนี้เสรีชน

เนตรนารีกับอันธพาล

เขาอ้วนล่ำกล้ามใหญ่แต่ใจเล็ก เธอเป็นเด็กตัวนิดกล้าคิดอ่าน

เขาไม่เถียงไล่ต่อยเด็กน้อยอาน เธอยืนหยัดคัดค้านด้วยวาจา

เราอาจเถียงกันได้ใครถูกผิด แต่เราไม่มีสิทธิ์รักจนบ้า

ความรุนแรงแบ่งเส้นเกณฑ์ขีดกา คนดีหรือเถื่อนป่าอนารยะ

ข้ามแม่น้ำรูบิคอน

ฝุ่นนับแสนผนึกแน่นเต็มแผ่นหล้า หยัดตัวยืนขึ้นมาเหยียดสันหลัง

ขยับเท้าก้าวไปไม่เลลัง ลุยขวากหนามข้ามฝั่งสู่เสรี

ถึงจุดที่ไม่มีการหวนกลับ ทิ้งโลกเก่าพังพับอยู่กับที่

อนาคตถึงเลี้ยวลดก็ตามที จะไม่เหมือนเมื่อวานนี้อีกต่อไป

เดือด

ในมือมีขื่อคา ที่จะขังและควบคุม

ร้อนใจดังไฟรุม หมายจะหยุดที่ไฟลาม

ในหัวไม่รู้คิด ในดวงจิตก็ผิดทราม

ไม่มีความดีงาม ไม่หัดถามความเป็นจริง

อำนาจเที่ยวสาดใส่ กลับสุมไฟให้ร้อนยิ่ง

สิ้นรักพึ่งพักพิง ลุกมอดไหม้ในกองเพลิง

น้ำตาที่ร้อนเดือด ระเหยเหือดเปลวแลบเริง

โหวงว่างและว้างเวิ้ง เหลือเพียงเถ้าธุลีลอย

เป็ดเอ๋ยเป็ดน้อย

เป็ดเอ๋ยเป็ดน้อย เริ่มแรกเจ้ายังด้อยเล็กหนักหนา

เติบใหญ่ด้วยต่อสู้คู่ประชา อาศัยความเก่งกล้าและจริงใจ

คลื่นฉีดเชี่ยวถั่งโถมโหมกระหน่ำ เจ้าดำผุดดำว่ายสายน้ำไหล

ร้องก้าบก้าบเย้ยฟ้าฝ่าทุกข์ภัย สู้พ่ายแพ้สู้ใหม่ไม่จำนน

ภราดรภาพ

เรามานัดพบกันกลางถนน ล้วนแล้วสามัญชนคนแปลกหน้า

ต่างลำเนาเราต่างคนต่างมา เพียงแค่ตาสบตาประสานใจ

ปลดความกลัวทิ้งไปไม่เหลียวหลัง ความรู้สึกพรูพรั่งหลากหลั่งไหล

ร่วมเรียกร้องพร้อมเพรียงเสียงก้องไกล เปล่งจากความจริงในใจทุกคน

ไข่มุกหล่น

ยุคที่สามัญชนคือคนกล้า พี่น้องแม้แปลกหน้าก็เป็นห่วง

วีรภาพซาบซึ้งไปถึงทรวง อ้อมกอดใจสองดวงเป็นบ่วงใจ

ไข่มุกหยดหยาดหล่นบนนวลแก้ม แววหมองเศร้าเคล้าแจมประกายใส

ส่องวันพรุ่งรุ่งเรืองเบื้องหน้าไทย ร้อยรักกันมั่นไว้ไปด้วยกัน