สถานีคิดเลขที่ 12 โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร / ไม่เตือน ก็ต้องระวัง!

สถานีคิดเลขที่12 / สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

———————–

ไม่เตือน ก็ต้องระวัง!

————————-

หลังรัฐประหารปี 2557

เราได้เห็น กลุ่มการเมืองใหม่อย่างน้อย 2 กลุ่ม

กลุ่มแรก คือ กลุ่มอนาคตใหม่ นำโดยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ

ที่แม้จะเกิดขึ้นได้ไม่นาน แต่สร้างตำนานการเมืองเอาไว้มากมาย

ทั้งในฐานะ ผู้กระทำ และถูกกระทำ

วันนี้ ส่วนหนึ่งถูกตัดสิทธิทางการเมือง พรรคถูกยุบ แปรสภาพไปเป็นกลุ่มการเมืองในนาม “คณะก้าวหน้า”

มุ่งหน้าไปสู่สนามเลือกตั้ง ท้องถิ่น

ขณะที่นายธนาธร ยังดำรงบทบาทการเมืองโดยเข้าไปเป็นกรรมาธิการฯงบปี 2564

ส่วนผู้ที่ไม่ถูกตัดสิทธิ ได้ไปต่อ ไปรวมกลุ่มสร้างพรรคก้าวไกล ทำหน้าที่ฝ่ายค้านในสภา

กลุ่มการเมืองใหม่นี้ ในสายตาฝ่ายที่กุมอำนาจบริหารประเทศอยู่ในปัจจุบัน เป็น กลุ่มที่มีแนวคิดอันตรายต่อชาติ

ผู้นำรัฐบาลประกาศกลางรัฐสภา อย่างชัดเจน

“ระวังตัวไว้บ้างก็แล้วกัน”

ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่า อนาคตใหม่ ของกลุ่มการเมืองใหม่นี้จะเป็นอย่างไร

จะยังเป็นเป้าหมายการถูกควบคุม จำกัด ขจัด อย่างเข้มข้นเพียงใด

กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มเทคโนแครต ทางด้านเศรษฐกิจ นำโดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ พร้อมทีม 4 กุมาร นายอุตตมะ สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล

กลุ่มคนเหล่านี้ อาศัยการต่อยอดเครือข่ายรัฐประหารก้าวเข้าสู่อำนาจ

โดยเข้าร่วมทั้งการบริหาร

และ เมื่อมีรัฐธรรมนูญ ก็ได้อาศัย รัฐธรรมนูญ “ที่ออกแบบมาให้พวกเรา”ไปร่วมกำหนดนโยบายและสร้างพรรคพลังประชารัฐขึ้นมา

โดยมีบทบาททั้งในฐานะ หัวหน้าพรรค และเลขาธิการ ผนึกกำลังร่วมกับ นักการเมืองโครงสร้างเก่า จนเนรมิตรพรรคให้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นฐานการเมือง จัดตั้งรัฐบาลรัฐจนประสบความสำเร็จ

กลุ่มการเมืองใหม่ที่สองนี้ เชื่อว่า ในช่วงเปลี่ยนผ่าน จากการรัฐประหารไปสู่ การเลือกตั้ง เป็นเวลาทองที่จะใช้อำนาจเหล็ก และเบ็ดเสร็จเด็ดขาดฟิ้นฟูเศรษฐกิจ – การเมือง กลับมาสู่ความรุ่งโรจน์ ได้

1 ใน 4 กุมาร ถึงกับเคย ประกาศ หลังเข้ามาบริหารประเทศ ในฐานะ”ทีมเศรษฐกิจ” ว่านี่คือ นาทีทองแห่งการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนผ่าน

ซึ่งเป็นจริงหรือไม่

การหันไปดูผลงานในช่วงที่ผ่านมาก็น่าจะมีคำตอบ

นั่นคือ ยิ่งเวลาผ่านไป ภาวะ”ทีมเศรษฐกิจ”ก็เริ่มสลายลง

จนที่สุดพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องประกาศว่า ตนเองคือหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ

ขณะที่กลุ่มการเมืองกลุ่มที่สอง ต้องสูญเสียกระทรวงเศรษฐกิจไปให้พรรคร่วมรัฐบาล หลายกระทรวง

จนหมดสภาพลงกลายเป็นรัฐมนตรีที่คุมกระทรวงเศรษฐกิจแยกไปเป็นกระทรวงๆเท่านั้น

และที่สุด “นาทีทอง”ก็ผ่านพ้นไป

เพราะไม่เพียงจะไร้ทีมเศรษฐกิจเท่านั้น

ตำแหน่ง หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค ก็ถูก “การเมืองเก่า”รุกคืบเอาคืน

และก้าวรุกไปถึงจะแย่งชิง “เก้าอี้รัฐมนตรี”มาให้ฝ่ายตนเองครอง

ซึ่งตอนนี้ อย่างที่ทราบ “การเมืองเก่า”สามารถยึดพรรคเอาไปได้แล้ว

เหลือ เพียงเก้าอี้รัฐมนตรี ที่กลุ่มการเมืองกลุ่มที่สอง ยังรักษาเอาไว้ด้วยการลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ เพื่อตัดกระแสกดดันทวงเก้าอี้คืนจากพรรค และหันไปพึ่งพล.อ.ประยุทธ์ ให้มีอำนาจตัดสินใจว่า จะให้พวกเขาอยู่หรือไป

ถือเป็นการ”รุก”ใน”ถอย”ที่ดูจะเป็นทางออกทื่ดีที่สุดตอนนี้

ส่วนในอนาคต จะเป็นอย่างไรคงต้องตั้งรับดีๆ

เพราะถึงจะไม่มีใครเตือน “ให้ระวังตัวไว้บ้างก็แล้วกัน”

แต่ นาทีนี้ต้องรู้แล้วว่า อนาคตในพรรคและรัฐบาลไม่ดีแน่

ต้องหาทางสู้-ทางลง หรือทางออก ไว้ให้ดี!