ในประเทศ : กล้าก้าว-กล้าไกล ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ จุดพลุ เมย์เดย์ เมย์เดย์ ช่วยเยียวยาคนหิว

ภายหลังรัฐบาลได้เริ่มโครงการ “เราไม่ทิ้งกัน” โดยมีกระทรวงการคลังเป็นเจ้าภาพหลักในการแจกเงินผู้ที่ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ “เราไม่ทิ้งกัน.com” เพื่อรับเงินเยียวยา 5,000 บาท

โดยส่วนของรัฐบาลได้วางกฎเกณฑ์จำนวนมาก เพื่อคัดกรองการให้ความช่วยเหลือผ่านระบบเอไอ

ซึ่งจุดนี้เองทำให้มีผู้ที่เดือดร้อนแต่ไม่ได้รับสิทธิ จนนำมาสู่การไปรวมตัวกันที่กระทรวงการคลังเพื่อทวงถามสิทธิที่พวกเขาควรได้

แม้ว่ารัฐบาลจะให้ยื่นอุทธรณ์ในการรับสิทธิก็ตาม แต่ความเดือดร้อนของประชาชนนั้นรอไม่ได้ จึงยิ่งเติมเชื้อไฟแห่งความเดือดร้อนและความสิ้นหวังเพิ่มมากขึ้น

สิ่งนี้เองจึงทำให้พรรคก้าวไกลออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลแจกเงิน 5,000 บาทแบบถ้วนหน้า โดยไม่ต้องพิสูจน์ความจน

โดยมี ส.ส.พรรคก้าวไกลออกมาให้ความเห็นถึงมาตรการเยียวยาเบื้องต้น 5,000 บาท รวมทั้งการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งระบบ

โดยเฉพาะการตั้งเว็บไซต์ “ทำไมไม่ได้ 5 พัน.com” ขึ้นมา มี “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกลในฐานะโฆษกพรรค เป็นแกนหลักในการจัดทำเว็บไซต์นี้ขึ้นมา เพราะทำเรื่องระบบโซเชียลมีเดียและออนไลน์มานาน

เพื่อให้ประชาชนที่เจอปัญหาในการใช้งานหรือเข้าไม่ถึงระบบลงทะเบียนรับเงินเยียวยา 5,000 บาทเข้ามาร้องเรียน

โดยทางพรรคจะนำข้อมูลดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจและคณะกรรมาธิการการแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร หลังพบปัญหามีประชาชนไม่ได้รับสิทธิและเข้าไม่ถึงสิทธิดังกล่าว

 

“วิโรจน์” เสนอให้รัฐบาลแจกแรงงานนอกระบบทั้ง 14.5 ล้านคน แบบถ้วนหน้า แม้จะใช้งบประมาณกว่า 217,500 ล้านบาท

ที่สำคัญ รัฐบาลจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ โดยต้องมองว่าเงินจำนวนนี้เป็นของประชาชน ไม่ไช่เงินของรัฐบาล ขอให้รัฐบาลเลิกช่วยโดยใช้ “กระบวนการพิสูจน์ความยากจน” เพราะใช้เวลานานและลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ทางพรรคก้าวไกลจึงให้ “ช่วยแบบถ้วนหน้า” แทน เพื่อให้ครอบคลุมและรวดเร็ว

ซึ่งโมเดลนี้เอง ถูกนำมาใช้กับการแจกของ “คณะก้าวหน้า” ที่นำโดย “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ และ “พรรณิการ์ วานิช” อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่โดยใช้วันแรงงาน 1-2 พฤษภาคมที่ผ่านมาจัดงานระดมทุนขึ้นมา ในรูปแบบเฟซบุ๊กไลฟ์ชื่อว่า “คอนเสิร์ตระดมทุน #MAYDAYMAYDAY เราช่วยกัน” เพื่อมอบให้ผู้ที่เดือดร้อนจากโควิด-19 รายละ 3,000 บาท

แต่งานนี้ไม่ง่ายอย่างใจคิดเพราะการระดมทุนย่อมมีต้องมีกระบวนการต่างๆ จำนวนมาก

ผู้จุดพลุอย่าง “ธนาธร” ที่หวังช่วยอย่างถ้วนหน้า ไม่ต้องพิสูจน์ความจน ด้วยการคิดเร็วและทำเร็วของคณะก้าวหน้า ทำให้เกิดช่องโหว่ขึ้น

หลังสามารถระดมทุนได้เพียง 7.2 ล้านบาท และส่งมอบให้ผู้เดือดร้อนได้เพียง 2,427 คนเท่านั้น

แต่มีผู้แสดงตนขอรับสิทธิมาทางช่องทางคอมเมนต์ในเฟซบุ๊กไลฟ์ถึงหลักล้านคน

โดย “ช่อ พรรณิการ์” ระบุว่า ในคอมเมนต์มีกว่า 3.4 ล้านคอมเมนต์ แต่เมื่อหักลบผู้ที่มาแสดงความเห็นกับกิจกรรมกับคนที่ขอรับสิทธิซ้ำไปซ้ำมา ก็จะเหลืออยู่ราวหลักล้านคน

ซึ่ง “ช่อ พรรณิการ์” ชี้แจงเพิ่มเติมว่า โครงการนี้คณะก้าวหน้าคิดภายใน 48 ชั่วโมงในการทำโครงการขึ้นมา เพื่อความรวดเร็วจึงใช้บัญชีของตนเองในการระดมทุนเข้ามา เพราะหากจะเปิดบัญชีในชื่อโครงการจะต้องติดต่อธนาธร ซึ่งใช้ระยะเวลาหลายวัน

โดยคณะก้าวหน้าไม่ได้มาแจกเงินตามที่มีการกล่าวถึง แต่เป็นตัวกลางในการระดมทุนจากผู้ที่มีทุนทรัพย์เพื่อส่งต่อให้ผู้ขอรับสิทธิที่เดือดร้อน

ซึ่งเมื่อปิดรับการระดมทุนเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 3 พฤษภาคมที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถปิดบัญชีได้เพราะต้องทำการโอนเงินให้กับผู้ที่ขอรับสิทธิเข้ามาให้ครบถ้วนก่อน

คณะก้าวหน้าใช้หลักการ “แจกถ้วนหน้า” โดยไม่ต้องพิสูจน์ความจนหรือวัดค่าความน่าสงสาร ใช้เกณฑ์ใครมาก่อนได้ก่อนและให้เขียนชื่อและเหตุผลเข้ามา แต่สิ่งที่ทำให้คณะก้าวหน้าต้องทำการลบคอมเมนต์นับล้าน หลังมีการใส่เลขบัญชีเข้ามา ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนตัวและจะเป็นอันตรายจากมิจฉาชีพได้ จึงทำให้ “ธนาธร” ต้องออกมาเฟซบุ๊กไลฟ์ขอโทษผู้มาขอรับสิทธิแต่ไม่ได้สิทธินั้น

“ผมขอใช้โอกาสนี้ ขอโทษทุกท่านจากใจจริง ว่าเราไม่ได้มีเจตนาเป็นอื่น และพยายามอย่างมากในการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา ใครที่เข้าใจเช่นนั้นและได้อ่านข้อความนี้ ผมขอโทษท่านอีกครั้ง และขอให้เข้าใจในเจตนาดีของพวกเราด้วย ผมเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่เราไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างมหาศาลได้” นายธนาธรกล่าว

“แน่นอนที่สุดสิ่งที่เราทำเรารู้ตั้งแต่แรกว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่อะไร เพราะว่าเราไม่ได้มีเงินเยอะขนาดที่จะเลี้ยงดูปูเสื่อทุกคนสามารถที่จะช่วยเหลือทุกคน แต่เราเชื่อว่าอย่างน้อยสิ่งที่เราทำ น่าจะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่แบ่งเบาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้บ้าง เราเชื่อว่าสิ่งที่เราทำน่าจะแบ่งเบาความทุกข์ยากของประชาชนที่เดือดร้อนกันแสนสาหัส เราไม่อยากนั่งอยู่เฉยๆ แล้วบอกว่าใครจะเป็นอย่างไรก็เป็นไป เราขอเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีส่วนช่วยทุกคนบ้างสักนิดหนึ่ง แน่นอนที่สุดผมตระหนักดีว่า ทางนี้ไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนที่ดีที่สุด เราต้องพูดไปถึงงบประมาณที่เป็นภาษีของประชาชน ว่าต้องเอามาใช้ดูแลเยียวยาประชาชนในช่วงที่ประชาชนอยู่บ้านเพื่อชาติ แล้วเขาขาดรายได้ แต่วันนี้เขาอยู่บ้านเพื่อชาติ เขาขาดรายได้เพื่อชาติ แต่ชาติไม่เหลียวแลเขาเลย ถ้ามีการเหลียวแล ถ้ามีการดูแลประชาชนอย่างทั่วหน้าดูแลทุกคน เฉลี่ยทุกคนกันจริงๆ เราคงไม่ต้องมาทำโครงการนี้”

นายธนาธรกล่าว

 

ทว่ากลับเจอ “งานเข้า” เพิ่มอีกหลังนายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ขอให้กรมการปกครองตรวจสอบคณะก้าวหน้า ได้มีการขออนุญาตจัดกิจกรรมตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร พ.ศ.2487 หรือไม่

ซึ่ง “ช่อ พรรณิการ์” ชี้แจงว่า ตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร กิจกรรมที่ต้องขออนุญาต มีเพียงการเรี่ยไรบนถนนหลวงและผ่านวิทยุกระจายเสียงหรือเครื่องเปล่งเสียง ตาม พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่ การเฟซบุ๊กไลฟ์ไม่ถือเป็นวิทยุกระจายเสียง และกิจกรรมที่จัดไม่ได้ขัดศีลธรรมหรือความสงบสุข จึงไม่ผิดกฎหมายและไม่ต้องขออนุญาต

การออกมา “โชว์หล่อ” ของคณะก้าวหน้าย่อมมีทั้งดอกไม้และก้อนอิฐตามมา โดยเฉพาะ 2 มุมมอง ทั้งการมองว่าสิ่งที่คณะก้าวหน้าทำนั้น “อุดมคติ” หรือไม่ เมื่อมาทำเองก็พบว่าไม่ง่าย

อีกทั้งมองว่าเป็นการ “บลั๊ฟฟ์หรือข่มรัฐบาล” หรือไม่ ซึ่ง “ช่อ พรรณิการ์” มองว่า ถ้าไม่มีเรื่องอุดมคติ เราจะมีสังคมที่ดีกว่านี้ได้อย่างไร อย่างน้อยอดีตพรรคอนาคตใหม่ คณะก้าวหน้าและคนที่สนับสนุน คือคนที่ไม่เชื่อว่าสังคมมันจะย่ำแย่แบบนี้ตลอดไป และเราไม่ยอมจำนนต่อความย่ำแย่นั้น ซึ่งคณะก้าวหน้าก็มีข้อเสนอเชิงนโยบายที่จะช่วยเหลือคนอย่างเท่าเทียมกัน แน่นอนว่าไม่ได้เท่าเทียมที่เราตอบสนองทุกความเดือดร้อนได้ เพราะเราไม่ใช่รัฐบาล

ส่วนข้อกล่าวหาที่หาว่า “บลั๊ฟฟ์หรือข่มรัฐบาล” นั้น “ช่อ พรรณิการ์” มองว่า เป็นเรื่องตลก ถ้าจะบอกว่าการพยายามทำคนละไม้คนละมือ รวบรวมเงินจากประชาชน เพื่อส่งต่อให้ประชาชน เป็นการบลั๊ฟฟ์รัฐบาล เพราะสิ่งที่เราต้องการก็คือรัฐบาลที่ให้การช่วยเหลือเยียวยาประชาชนอย่างเต็มที่ ทั่วถึง เท่าเทียม เพื่อช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ หากใครทำแล้วโดนหาว่าบลั๊ฟฟ์รัฐบาลอาจจะใจแคบไป

ซึ่งหลังจบจากโครงการแรก ทางคณะก้าวหน้าจะมีการถอดบทเรียน วางแผนทำโครงการที่ 2 ต่อไป โดยยกยอดเงินโครงการแรกที่เหลือทำต่อ

 

ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้จึงแยกตัวตนของ “พรรคก้าวไกล-คณะก้าวหน้า” ออกจากกันไม่ได้

เพราะทุกคนล้วนมีฐานมาจากอดีตพรรคอนาคตใหม่ ที่มีจุดหมายและอุดมการณ์เช่นเดียวกัน แม้ในทางกฎหมายคณะก้าวหน้าจะห้ามข้องเกี่ยวกับพรรคก้าวไกล เพราะจะเข้าข่ายผิดฐานครอบงำพรรคได้

แต่ในความเป็นจริงแล้วทั้งคู่ก็เดินเคียงข้างกันต่อไป

เพราะ “อนาคตใหม่” คือผู้คนและการเดินทาง ที่ต้อง “กล้าก้าว-กล้าไกล”!