วงค์ ตาวัน | สะเทือนกองทัพ

วงค์ ตาวัน

ไม่เคยมีมาก่อนในบ้านเมืองเรากับเหตุการณ์คนคนเดียวที่บ้าคลั่ง ใช้ปืนไล่ฆ่าคนไปทั่วเมือง จนตายไป 29 คน ก่อนที่ตัวเองจะถูกจับตายเป็นศพที่ 30 โดยก่อนหน้านี้คนไทยเราได้เห็นแค่จากข่าวที่เกิดเหตุแบบนี้ในต่างประเทศ

การกระทำของ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา หรือจ่าปืนคลั่ง ผู้ก่อเหตุสยองทั่วเมืองโคราชและภายในห้างเทอร์มินอล 21 จึงเป็นเหตุยิงกราดฆ่าหมู่ครั้งแรกในบ้านเรา ทำให้ต้องค้นหาสาเหตุและหาทางป้องกันอย่างขนานใหญ่

แม้ว่าในด้านหนึ่ง จะเกิดข้อเรียกร้องอย่าทำให้ จ.ส.อ.จักรพันธ์กลายเป็นคนเด่นดัง ไม่เช่นนั้นจะนำมาสู่การก่อเหตุเลียนแบบตามมา

อย่าทำให้จ่าปืนคลั่งได้รับความเห็นใจว่า ก่อเหตุเพราะถูกกดดันกลั่นแกล้งอย่างหนักจนถึงจุดระเบิด

“เป็นข้อเรียกร้องที่ดี และควรช่วยกันไม่ให้เกิดความสำคัญผิดในพฤติกรรมดังกล่าว”

แต่ก็ไม่ควรทำอย่างสุดโต่ง คือ การตีค่าให้ จ.ส.อ.จักรพันธ์เป็นเพียงไอ้เลวร้ายเดนนรก สมควรตาย โดยไม่พูดถึงอีกด้าน แล้วกลายเป็นการปกปิดความจริงของเหตุการณ์นี้
เพราะพฤติกรรมตามข้อเท็จจริงที่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ก่อขึ้นมา ด้วยการไล่ฆ่าคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องจนตายไปทั่วเมืองถึง 29-30 คน

ตามข้อเท็จจริงก็ชัดในตัวเองอยู่แล้วว่า เลวร้ายด้วยประการทั้งปวง

“ไม่มีทางที่จะมีใครมองให้เป็นคนเด่นดังอย่างแน่นอน อย่าดูถูกสติปัญญาคนไทยเกินไปว่าแยกแยะอะไรไม่ออก!!”

ดังนั้น ต้องไม่ลืมพูดถึงข้อเท็จจริงอีกด้านว่าเกิดอะไรขึ้นในค่ายทหารแห่งนั้น เกิดอะไรขึ้นกับระบบในกองทัพ

ตามคำกล่าวของ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. ที่ว่า ในวินาทีที่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ลั่นไกปืนฆ่าคน ณ วินาทีนั้นเขาก็คืออาชญากร ไม่ใช่ทหารอีกต่อไปแล้ว

“นำมาซึ่งเสียงตอบโต้ว่า ไม่ควรปัดผิดให้คนคนเดียว เพราะ จ.ส.อ.จักรพันธ์เป็นผลผลิตจากระบบของกองทัพ ฝึกฝนยิงปืนจนเชี่ยวชาญ แล้วต่อมาเกิดข้อขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชา และการหาผลประโยชน์จากธุรกิจ เชื่อมโยงถึงระบบเงินกู้สวัสดิการทหาร ตามมาด้วยการเบี้ยวเงินทอง แล้วใช้อำนาจข่มเหง กักยาม ตัดเบี้ยเลี้ยง จนถึงจุดแตกหัก แล้วใช้อาวุธปืนที่ชิงมาจากค่ายทหารนั่นแหละมาก่อเหตุ!!”

ยิงคู่ขัดแย้งตายไปแล้ว 2 ราย แล้วก็สติแตก ใช้อาวุธปืนในราชการสงคราม ทั้งเอชเค 33 และที่รุนแรงมากคือปืนกลเอ็ม 60 ปืนเจาะเกราะที่ใช้ยิงรถถังในสงครามสู้รบออกมาไล่ยิงดะไปทั่วเมือง แล้วดิ่งเข้าไปในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ที่เต็มไปด้วยชาวบ้านที่มาเดินเที่ยวช้อปปิ้ง

เป็นเหตุระทึกยืดเยื้อถึง 18 ชั่วโมง ก่อนจบลงด้วยการถูกจับตายในประมาณ 9 โมงเช้าวันที่ 9 กุมภาพันธ์

“ทีมตำรวจอรินทราชที่เข้าเผชิญหน้าจับตายจ่าปืนคลั่งต้องเสี่ยงกับการถูกยิงด้วยปืนเอ็ม 60 ที่ทะลุโล่กันกระสุน ทะลุเสื้อเกราะ จนต้องพลีชีพไป 2 นาย”

ถ้าเป็นอาชญากรทั่วไป ย่อมไม่สามารถลากปืนกลเอ็ม 60 ออกมายิงทะลุเกราะของตำรวจได้

การจัดการกับคนร้ายจะง่ายดายกว่านี้มาก ถ้าไม่ใช่คนร้ายที่เชี่ยวชาญอาวุธ และสามารถเข้าถึงอาวุธสงครามร้ายแรงได้

การตัดสินใจเข้าไปยึดห้างสรรพสินค้าของ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา จ่าปืนคลั่ง หลังจากยิงคู่กรณีตายไป 2 ราย แล้วเข้าไปยิงอีกรายในค่ายทหารเพื่อชิงปืนร้ายแรง นั่นแปลว่าจ่าปืนคลั่งถึงจุดสติแตก พร้อมจะแสดงความบ้าอาละวาดป่วนเมืองแล้ว

จากนั้นออกมายิงที่หน้าวัดป่าศรัทธารวมอีก 9 ราย แล้วเตรียมจะบุกถล่มโรงพักเมืองนครราชสีมา แต่พบว่าตำรวจตั้งป้อมเตรียมสู้แล้ว จึงดิ่งเข้าไปภายในห้างเทอร์มินอล 21 แทน ซึ่งเต็มไปด้วยประชาชนหลายพันคน

“พื้นที่ห้างกว้างใหญ่ มีหลายชั้น มีโซนขายของต่างๆ มีห้องแยกมากมาย รวมทั้งมีประชาชนจำนวนมาก เป็นชัยภูมิที่จ่าปืนคลั่งคงเลือกแล้วว่า ทำให้เหนือกว่าตำรวจที่กำลังตามมาจับกุมอย่างแน่นอน”

เมื่อเข้าไปแล้วยิงกราดใส่คนในห้าง จนคนหนีตายออกมาจำนวนมากแล้ว แต่ก็อีกจำนวนมากที่วิ่งเข้าไปหลบซ่อนตามซอกหลืบต่างๆ จากนั้นจ่าปืนคลั่งก็ออกเดินค้นหาเหยื่อ เจอตรงไหนก็ยิงดะ

จนกระทั่งค่ำ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.พร้อมด้วยหน่วยปฏิบัติการพิเศษจากนครบาลและหน่วยต่างๆ 4 ชุด เดินทางมาถึงห้าง แล้วเริ่มเข้ายึดพื้นที่ในตอนดึก หลังจากตรวจสอบข่าวสาร หาจุดสุดท้ายของคนร้ายได้ชัดเจน เริ่มจากเข้าคุมชั้นต่างๆ ที่ปลอดคนร้าย เพื่อเร่งอพยพชาวบ้านที่หลบอยู่ทยอยออกไปให้เร็วที่สุดและให้หมดสิ้น

“หลังจากเคลียร์คนติดค้างมากมายออกไปได้หมดทุกชั้นแล้ว เหลือเพียงชั้นล่างสุดที่พบว่าคนร้ายปักหลักอยู่ พล.ต.อ.จักรทิพย์พร้อมด้วย 2 รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข และหน่วยปฏิบัติการพิเศษ จึงเริ่มเข้าพื้นที่อันตราย!”

ความยากของปฏิบัติการคือ ต้องเริ่มจากนำชาวบ้านออกไปให้ได้มากที่สุดเสียก่อน จึงจะเริ่มเข้าปะทะและล่าจับตัว เพราะหากผลีผลาม จะทำให้ชาวบ้านที่หลบซ่อนอยู่ถูกลูกหลง ไม่เท่านั้น ตามการข่าวเบื้องต้น สงสัยว่า จ.ส.อ.จักรพันธ์น่าจะมีระเบิดติดตัวด้วย เพราะเชี่ยวชาญเรื่องระเบิดแสวงเครื่อง รวมทั้งอาจจะมีซีโฟร์อานุภาพร้ายแรง

“ถ้าหากเกิดระเบิดขึ้นก่อนที่จะเอาคนออกมา อาจเกิดเพลิงไหม้และการสูญเสียมากมาย”

จนเมื่อเคลียร์ได้ทุกชั้น จึงเริ่มเข้าพื้นที่แตกหักในชั้นล่างสุด จนเกิดการปะทะแบบเจ้าหน้าที่ไม่ทันรู้ตัว โดนสาดกระสุนเอ็ม 60 จนทำให้สูญเสียตำรวจอรินทราชไป 2 นาย

ก่อนจะรุกไล่เข้าไปถึงจุดในสุดคือบริเวณห้องเย็นของฟู้ดแลนด์ แล้วช่วยคนหลบซ่อนอยู่ตรงนั้นอีกนับ 10

เป็นจังหวะที่จ่าปืนคลั่งโผล่ออกมาจะยิงใส่เจ้าหน้าที่อรินทราชชุดนั้น จึงถูกเจ้าหน้าที่จับตายได้ในที่สุด!

เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการยกย่องชื่นชมจากทั่วทั้งสังคมที่ปฏิบัติการได้อย่างเชี่ยวชาญ อพยพผู้คนที่ติดค้างได้มากมายหลายร้อยชีวิต ก่อนจะเข้าจัดการกับจ่าปืนคลั่งได้สำเร็จ เรียกศรัทธาจากชาวบ้านต่อตำรวจได้ท่วมท้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ที่เข้าควบคุมปฏิบัติการด้วยตัวเอง กลายเป็นฮีโร่ที่คนทั้งสังคมยกย่องมีความเป็นผู้นำที่แท้จริง

เชื่อมกับภาพ ผบ.ตร.ที่ถ้ำหลวง ตามด้วยปฏิบัติการจับโจรปล้นทองฆ่า 3 รายที่ลพบุรีได้อย่างยอดเยี่ยม

“วันนี้ทั้งสังคมชื่นชมจนเรียกร้องให้บิ๊กแป๊ะอยู่รับใช้บ้านเมืองต่อไปหลังเกษียณอายุในเดือนกันยายนนี้”

อีกด้าน ผบ.ทบ.ต้องออกมาขอโทษสังคม ปาดน้ำตาแถลงข่าว พร้อมทั้งยอมรับว่า ต้นตอที่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ก่อเหตุคือปัญหาภายในหน่วย มีการโกงและการใช้อำนาจข่มเหง ซึ่งจะต้องหาต้นตอและแก้ไข ทำนองว่าจะต้องมีการย้ายกันยกใหญ่ รวมทั้งการควบคุมคลังอาวุธในค่ายต่างๆ

“รวมทั้งยอมรับ ต้องสะสางกองทัพขนานใหญ่ แก๊งเงินทอนเงินกู้สวัสดิการ แก๊งหาผลประโยชน์ ไปจนถึงรายได้สนามมวย สนามกอล์ฟ และข้อครหานายทหารที่เกษียณแต่ยังอยู่บ้านหลวงไม่ไปไหน”

สังคมไทยอาจจะหวาดผวาเหตุ 30 ศพนี้ จนหวั่นเกรงพฤติกรรมคลั่งเลียนแบบ แต่ต้องเรียนรู้ว่าการแก้ไขคนคลั่งเลียนแบบ ต้องไม่ใช่เพียงแค่ไม่เอ่ยชื่อจ่าปืนคลั่ง ไม่แค่ทำให้คนผิดเป็นคนดัง และต้องไม่ใช่การรีบลืมๆ ซะ

เพราะจะกลายเป็นการกลบเกลื่อนเรื่อง ซุกเอาไว้จนไม่มีการแก้ไข แล้วจะกลายเป็นระเบิดเวลาที่จะตูมตามคลั่งกันขึ้นมาอีกได้ในอนาคต!