เปิดอก ‘แซน ชยิกา’ หลาน2อดีตนายกฯ กับ ความหวัง วันเวลาและบทบาทปัจจุบัน :1ปี เหตุการณ์ ทษช. / 1ใน10ปีของคนไม่มีสิทธิ์

แม้ว่าเวลาจะผ่านมาแล้ว 1ปี ที่เกิดปรากฎการณ์ “พรรคไทยรักษาชาติ” (ทษช.) เสนอพระนามทูลกระหม่อมหญิงอุบุลรัตน์ เมื่อวันที่8 ก.พ.2562 ซึ่งหลายคนคงจดจำได้และเป็นหนึ่งในวันประวัติศาสตร์การเมืองไทยไปตลอดกาล ปรากฎการณ์นั้นทำให้เวลาต่อมามีผลทางการเมืองในการยุบพรรค ตัดสิทธิ์ “กรรมการบริหารพรรค” ทำให้ “คนเลือดใหม่ๆ” หลายๆคนที่เข้าไปเป็น กก.บห.ต้องยุติบทบาทและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเมืองนานถึง10ปี หนึ่งในนี้คือ “แซน ชยิกา วงศ์นภาจันทร์” ที่เคยดำรงตำแหน่ง “นายทะเบียนพรรค” ซึ่งถือว่าเธอคนนี้เป็น “คีย์แมนคนสำคัญ” ด้วยความที่เธอคนนี้มีศักดิ์เป็นหลานของทั้ง2อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

“ชยิกา” เคยเผยความในใจกับมติชนสุดสัปดาห์ (ฉบับ 11-17 ม.ค.62) ว่าการตัดสินใจลงมาสู่สนามการเมือง เพราะว่าการเกิดรัฐประหารปี 2549 ทำให้เขารู้สึกว่า ตอนนั้นแม้ตัวเองไม่อยู่ในการเมืองยังได้รับผลกระทบในการธุรกิจที่หนักหนาสาหัสอย่างมาก ความเชื่อมั่นของลูกค้าก็ไปด้วย อย่างตอนนั้นทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ลูกค้าจองบ้านไว้แล้ว พอเกิดเหตุการณ์รัฐประหารเขายกเลิก เปลี่ยนใจ แถมคนในครอบครัวจะกู้เงินทางธุรกิจก็ไม่สามารถทำได้ ครอบครัวต้องโลว์โปรไฟล์ จึงกล่าวได้ว่า “ถ้าไม่มีรัฐประหาร 2549 วันนี้คงไม่มาทำงานการเมืองเด็ดขาด

สำหรับบทบาทที่เป็นภาพจำจริงๆ คือตั้งแต่ช่วงปี 2554 ชยิกาได้เข้าไปทำโซเชียลมีเดียและฝ่ายต่างประเทศให้กับอดีตนายกฯปู รวมถึงฝ่ายนโยบายของพรรคเพื่อไทย ได้ไปเป็นผู้ช่วยเลขาฯ ในการร่างคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

มาวันนี้ “มติชนสุดสัปดาห์” จึงอยากชวน “แซน ชยิกา” ทายาทของเยาวเรศ ชินวัตร อดีตทีมเบื้องหลังของอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกประเทศ ที่วันนี้มาสวมบทบาทใหม่กับการเป็น “แม่ค้าขนมจีนน้ำเงี้ยวบ้านสันกำแพง” สูตรลับเฉพาะของคุณแม่เยาวเรศ ที่มีจำหน่ายผ่านทาง IG baansankampaeng แฟนๆ หรือคออาหารเหนือต้องไม่พลาด (แว่วว่าจะจำหน่ายอาหารเหนือหลายรายการด้วยตั้งแต่ ก.พ.63เป็นต้นไป) แต่ก่อนจะไปฝากท้องกับของอร่อย อดไม่ได้ที่จะขอถือโอกาสนี้อัพเดทชีวิต กับ “แซน” กับวันเวลาเกือบ1ปีที่ กลายเป็น “คนไม่มีสิทธิ์”

แซน เล่าว่า “ถึงแม้ว่าปัจจุบันนี้ จะไม่มีสิทธิทางการเมือง แต่ ณ วันนี้ก็ขออนุญาตใช้สิทธิพลเมืองที่ยังคงเหลืออยู่อย่างเต็มที่ ถึงแม้หน้าที่การงานจะไม่ได้เป็นคนทำงานการเมืองแล้วก็ตาม แต่หัวใจและจิตวิญญาณก็ยังคงอยู่เต็มเปี่ยมหมือนเดิม”

ห้วงระยะเวลา เกือบ1 ปีที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นเวลาที่เร็วมาก ได้เรียนรู้อำรต่างๆมากมาย เช่นการได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเองมากขึ้นได้ดูแลตัวเอง (โดยเฉพาะด้านสุขภาพ การทานอาหารคลีน การออกกำลังกาย) และการมาทำหน้าที่คุณแม่ดูแลลูกดูแลครอบครัว พอได้มีเวลาได้ดูแลลูกมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ตัวเองได้มีโอกาสกลับมามองว่าวันนี้ในยุคที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไป เป็นโลกยุคดิจิตอล ยุคคอมพิวเตอร์แบบ quantum physics ที่มันกำลังจะเกิดขึ้นแล้ว เราในฐานะคุณแม่ของลูกวัย 5 ขวบ ก็จะต้องเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงตรงนี้ที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเฉียบพลัน ว่าเราจะสอนลูกยังไงจะช่วยลูกแพลนเรื่องการเรียนอย่างไร เพื่อให้ที่จะทำให้เขาสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพในสังคมที่ที่มันเปลี่ยนไปมากขนาดนี้ได้ เราก็อยากจะเป็นคุณแม่ที่ ประการแรก คือ ต้องเข้าใจแล้วก็สามารถช่วยเขาเตรียมพร้อมกับการศึกษาแบบใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ ประการต่อมาเราก็อยากจะเป็นคุณแม่ที่เป็นเพื่อนไปกับลูกแล้วก็เข้าใจตัวเขาด้วยอะไรแบบนี้ ทั้งเรื่องการเตรียมตัวด้านการศึกษาต้อง การสร้างความเข้าใจและสนใจในสาขาอาชีพที่มันกำลังจะเกิดขึ้นใหม่หรือในอนาคตที่ว่าโตขึ้นมาแล้วจะประกอบอาชีพหรือทำธุรกิจอะไรยังไงมันก็ต้องวิ่งไปตรงนั้นก็ต้องเป็นเพื่อนคิด ภายใต้สถานการณ์ที่ว่าถ้าเราไม่เข้าใจความเปลี่ยนแปลงนี้เหมือนไม่เข้าใจความรู้สึกเขา “ความเข้าใจ” เป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากสำหรับ “ครอบครัว” ยิ่งเราได้ช่วยเขาเตรียมตัวเพื่อรับมือกับ “อนาคต” ที่เปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดได้

ส่วนงานด้านการเมืองนั้น แซน ยอมรับในทันที่ว่า “คิดถึงนะคะ” เพราะว่าโดยส่วนตัวแล้วงานการเมืองที่เคยเข้าไปช่วยทำมาให้ห้วง10ปีที่ผ่านมา เป็นงานที่เรารักแล้วก็เชื่อมั่นว่าเป็นสิ่งที่ทำแล้วเกิดประโยชน์กับสังคมจริงๆ แม้ว่าในวันนี้จะเป็นคนที่ไม่มีสิทธิทางการเมืองก็ตาม แต่อย่างไรเสียก็คิดว่าเรายังคงมีสิทธิพลเมืองอยู่ จึงคิดว่าถ้าเกิดสมมุติวันไหนที่เรามองเห็นว่าเพื่อนประชาชนด้วยกันมีความเดือดร้อน หรือว่าตรงไหนที่เราออกมาพูดแล้วจะเป็นประโยชน์ให้กับสังคมได้ เราก็รู้สึกว่าเราก็คงยังอยากจะใช้สิทธิพลเมืองตรงนั้นในการที่จะสะท้อนออกมาให้สังคมได้รับรู้รับทราบ

อดีตนายทะเบียนพรรคไทยรักษาชาติ มองว่าระยะเวลา 10 ปีเนี่ยมันเป็นระยะเวลาที่นานนะ 9ปีที่เหลือข้างหน้า ถ้าถามว่าจะกลับมาไหม ก็คงต้องดูองค์ประกอบและบริบท บวกกับสถานการณ์บ้านเมืองในเวลานั้นด้วย ว่าเราจะเอาอย่างไรต่อ ซึ่งตรงนี้ ณ วันนี้เราคงยังตอบไม่ได้

แต่หลานอดีตนายกฯ ยังคงมองสังคมนี้อย่างมีความหวังอยู่ ลางๆบ้าง จากที่หนล่าสุดที่ตัวเองได้มีโอกาสไปร่วมแสดงจุดยืนของตัวเองที่งานที่ “วิ่งไล่ลุง” ที่สวนรถไฟ โดยส่วนตัวสังเกตจากคนที่ไปร่วมงานในวันนั้น ต้องยอมรับว่าคนเข้าร่วมงานในวันนั้นเนี่ยไม่ได้เป็นคนกลุ่มเดิมสักทีเดียว ถ้ามองไปจริงๆ จะเห็นว่าเป็นน้องๆคนรุ่นใหม่ ที่ไปร่วมงาน ไปร่วมแสดงความคิดเห็นในงานวิ่งนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนรุ่นใหม่ที่ก็ไปใช้สิทธิในการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง62 แล้วผลการเลือกตั้งที่ออกมาของเขากลับรู้สึกว่าถูกกดทับ โดยรัฐบาลคสช.ที่ทำให้สิ่งที่ประชาชนเลือกให้เป็นเสียงส่วนใหญ่เนี่ยไม่ได้เป็นรัฐบาล จึงทำให้ต้องเขาออกมาแสดงความความคิดเห็นทางการเมือง

ถามว่าทำไมถึงมีความหวัง เพราะถ้ามองไปดีๆจะเห็นเลยว่ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่ใช่ “กลุ่มโปรทักษิณ” แล้วก็ไม่ใช่กลุ่มอนุรักษ์นิยมเดิมๆ ที่มีความคิดแบบเดิมๆ ที่เรามองว่าสังคมมีความขัดแย้งเรื่องมี 2สีเสื้อแบบเก่าๆ แต่กลุ่มคนเหล่านี้ เขาอยากเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ เขาเลือกที่จะแสดงความคิดเห็นและจุดยืนทางการเมืองของเขาด้วยการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ แล้วก็ไม่ใช้ความรุนแรง ก็ทำให้ส่วนตัวอยากจะเป็นกำลังใจเล็กๆให้กับน้องๆกลุ่มเหล่านี้แล้วก็คิดว่าประเทศไทยเรายังคงพอมีความหวังอยู่บ้าง ส่วนที่ใครๆหลายคนที่บอกว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นกลุ่มเสื้อแดงที่ไปไปวิ่งกัน อยากจะบอกเลยว่าไม่ใช่ น้องๆเหล่านี้ไม่ใช่กลุ่มคนเสื้อแดงแน่นอน เพราะเสื้อสีเดียวที่เขาใส่ คือ “เสื้อประชาธิปไตย”