ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ : ความไม่อารยะ ใน DNA ของอารยชน?

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
ภาพจำลองมนุษย์นีแอนเดอร์ธัล ซึ่งอาจจะผสมข้ามพันธุ์กับบรรพชนสายตรงของมนุษย์ในปัจจุบัน ตั้งแต่เมื่อ 100,000 ปีมาแล้ว (ภาพจาก: http://www.bbc.com/news/science-environment-35595661)

ญาติสนิทที่ใกล้ชิดกับมนุษย์สมัยใหม่ (ในเชิงกายภาพ) แบบเราๆ ท่านๆ ที่สุดกลุ่มหนึ่ง แถมยังน่าจะที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดอีกด้วยก็คือ มนุษย์นีแอนเดอร์ธัล (Neanderthal)

มนุษย์โบราณยุคยังไม่มีคำว่า “ประวัติศาสตร์” ใช้กันเลยด้วยซ้ำพวกนี้ ใช้ชีวิตอยู่ในทวีปยุโรป เรื่อยมาจนถึงตอนบนของภูมิภาคตะวันออก และมาสุดปลายเอาที่เทือกเขาอัลไต (ที่ไม่มีบรรพบุรุษไทยเรา) ตั้งแต่เมื่อราว 250,000-30,000 ปีมาแล้ว (แต่ก็มีข้อมูลจากถ้ำในช่องแคบยิบรอลตา แสดงให้เห็นว่าญาติสนิทของเราพวกนี้ อาจจะยังไม่สูญพันธุ์ไปจนกระทั่งเมื่อ 28,000-24,000 ปีที่แล้ว เลยก็เป็นได้)

แถมถ้าหากจะนับรวมไปถึงสายพันธุ์กึ่งๆ ที่ยังเถียงกันว่า จะเรียกว่าเป็นมนุษย์นีแอนเดอร์ธัลได้เต็มปากหรือไม่? (proto-Neanderthal) ก็ต้องนั่งไทม์แมชชีนย้อนกลับไปถึง 600,000 ปีที่แล้วโน่นเลยนะครับ

เรียกได้ว่าพวกเขามีชีวิตอยู่มาก่อนบรรพชนสายตรงของมนุษย์สมัยใหม่อย่างพวกเราในปัจุบันนี้ ที่เรียกว่าพวกโฮโม เซเปียนส์ (Homo sapiens) ซึ่งเพิ่งเริ่มรวมตัวกันเป็นชุมชนขนาดเล็กๆ อยู่ในแอฟริกาเมื่อ 200,000 ปีที่แล้วเท่านั้น และเพิ่งจะหาญกล้ารอนแรมทางออกจากแอฟริกามาสู่ยุโรปเมื่อราว 120,000 ปีที่แล้วนี่เอง

แน่นอนว่า เมื่อครั้งที่ โฮโม เซเปียนส์ เคลื่อนย้ายตัวเองเข้ามายังตะวันออกกลาง ทวีปยุโรป และภูมิภาคอื่นๆ พวกเขาได้พบกับผู้อยู่มาก่อน แถมยังมีวัฒนธรรม และเทคโนโลยีไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าพวกเขา อย่างมนุษย์นีแอนเดอร์ธัล

และถึงแม้ว่ามนุษย์นีแอนเดอร์ธัล ที่ตั้งรกรากอยู่ในดินแดนนอกแอฟริกามาก่อน (แน่นอนว่า ยังมีมนุษย์กลุ่มอื่นๆ อยู่อีกด้วย) จะมีรูปร่างกำยำล่ำสันมากกว่าบรรดาบรรพชนของพวกเราอยู่มาก ซึ่งเคยเชื่อกันว่า น่าจะแสดงให้เห็นถึงโอกาสที่จะเอาตัวรอดในธรรมชาติอันโหดร้าย มากกว่ามนุษย์ตัวกระจ้อยร่อยอย่างบรรพชนของพวกเรา

แต่สุดท้ายพวกเขาก็ถูกลบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์โลกอยู่ดี ในขณะที่ผู้อยู่รอดนั้นกลับเป็นสายพันธุ์บรรพชนของพวกเรา

พูดง่ายๆ ว่า ในท้ายที่สุดพวกเขาก็สูญพันธุ์ไปมันเสียอย่างนั้น ในขณะที่มนุษย์โบราณที่ร่างกายดูจะอ่อนปวกเปียกกว่าอย่างพวก โฮโม เซเปียนส์ กลับอยู่รอด แถมยังสืบลูกสืบหลานมากมายจนวิวัฒนาการมาอีกขั้น จนกลายเป็นมนุษย์สมัยใหม่อย่างพวกเราเสียอีก

 

ในปัจจุบันมีข้อสันนิษฐานว่า บรรพชนของมนุษย์สมัยใหม่อย่างพวกเราผสมพันธุ์กับ “สิ่งมีชีวิต” ที่อาศัยอยู่ในยุโรปมาก่อนเหล่านั้น และพิฆาตพวกเขาลงด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง

ตลอดช่วงระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา สมมติฐานที่มักจะเรียกกันในวงวิชาการว่า “การแทนที่ประชากร” (replacement) มีอิทธิพลอย่างสูงในการศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการของมนุษย์ โดยสมมติฐานนี้เสนอว่า มนุษย์สมัยใหม่ทั้งหมดสืบเชื้อสายมาจากชุมชนมนุษย์กลุ่มกระจ้อยร่อย ในแอฟริกา เมื่อ 200,000 ปีก่อน อย่างที่บอกมาแล้วนะครับ ดังนั้นสมมติฐานที่ว่าจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า “การกำเนิดในพื้นที่เดียวกันครั้งใหม่” (recent single-origin)

แน่นอนว่า “พื้นที่เดียวกัน” นั้นหมายถึง “แอฟริกา” ส่วนที่ว่าเป็นครั้งใหม่นั้นก็เพราะ ญาติสนิทกลุ่มอื่นๆ ของมนุษย์นั้นก็มาจากแอฟริกาด้วยเหมือนกัน และก็อย่างที่เกริ่นเอาไว้แล้วว่า เมื่อบรรพชนของมนุษย์สมัยใหม่พวกนี้ก็ได้เสพสังวาสกันกับพวกนีแอนเดอร์ธัล จนเกิดเป็นบุตรหลานออกมาให้ยั้วเยี้ย ก่อนที่พวกนีแอนเดอร์ธัลจะสูญพันธุ์ และหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์

ไม่มีใครรู้ว่าลูกหลานที่ผสมข้ามสายพันธุ์ได้รับการต้อนรับเยี่ยงไร จากทั้งฝ่ายขั้วอำนาจเก่าอย่างพวกนีแอนเดอร์ธัล และสายพันธุ์ใหม่ผู้มาเยือนอย่าง โฮโม เซเปียนส์ และอันที่จริงแล้วเราก็ไม่รู้เลยว่า มันเป็นเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากความรักหรือเปล่าด้วยซ้ำไปนะครับ

เอาเข้าจริงแล้ว คำว่า “การแทนที่ประชากร” จึงเป็นคำเก๋ๆ ที่ใช้กลบเกลื่อนความน่าจะเป็นเกี่ยวกับความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างมนุษย์นีแอนเดอร์ธัล และพวกโฮโม เซเปียนส์ อันเป็นบรรพชนสายตรงของพวกเรา

อย่างไรก็ดี ผลการตรวจสอบ DNA ของมนุษย์ตั้งแต่ปลายขอบสุดทางด้านตะวันตก ของยุโรปภาคผืนแผ่นดินใหญ่ที่ฝรั่งเศส ไปจนถึงเกาะที่ลอยละล่องอยู่กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ด้านทิศตะวันออกของโลกอย่างเกาะนิวกินี มนุษย์ทุกคนล้วนมี DNA ของมนุษย์นีแอนเดอร์ธัลปะปนอยู่ ระหว่าง 1-4% ยกเว้นก็แต่ใครที่มีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่ในทวีปแอฟริกา

พูดง่ายๆ ว่า ชาวแอฟริกันแท้ๆ นั่นแหละครับ ที่เป็นลูกหลานสายตรงที่สุดของมนุษย์โฮโม เซเปียนส์

ส่วนอาตี๋ อาหมวย ฝรั่งมังค่า แขกชวา อาหรับ อินเดีย หรือใครที่คิดว่าตัวเองเป็นไทยแท้ๆ มาจากไหนก็ตาม ก็ล้วนแล้วแต่เป็นมีเชื้อสายของมนุษย์นีแอนเดอร์ธัลอยู่คนละนิด คนละหน่อย ไม่ได้แตกต่างกันนัก

เรียกได้ว่า ถึงจะไม่ใช่บรรพชนของบรรชนสายตรงของมนุษย์สมัยใหม่อย่างเราเสียทีเดียว แต่ก็เป็นเครือญาติที่เติมเต็มความเป็นมนุษย์สมัยใหม่เกือบทั้งโลกทีเดียวแหละ

ดังนั้น นักวิชาการบางกลุ่มจึงได้เสนอว่า ถึงแม้จะมนุษย์โฮโม เซเปียนส์ จะได้เข้ามาแทนที่พวกนีแอนเดอร์ธัล แต่ก็เป็น “การแทนที่ที่มีร่องรอยรั่วซึม” (leaky replacement) ให้เห็นอยู่ด้วย

 

กระดูกของมนุษย์นีแอนเดอร์ธัล ชุดแรกในโลก ถูกพบโดยคนงานเหมืองที่หุบเขานีแอนเดอร์ ซึ่งวางตัวอยู่ทางเหนือ ห่างจากเมืองโคโลญจน์ ประเทศเยอรมนี ไปราว 20 ไมล์ อันเป็นที่มาของชื่อมนุษย์นีแอนเดอร์ธัล นี่แหละนะครับ

แต่เพราะด้วยขนาด และความแปลกประหลาดของกระดูกทำให้เจ้าของเหมืองเข้าใจว่าเป็น กระดูกของหมีถ้ำ ไม่ใช่มนุษย์ และแม้ว่าเจ้าของเหมืองจะส่งกระดูกชุดนี้ให้ครูในท้องที่ ซึ่งทำงานเป็นนักศึกษาฟอสซิลมือสมัครเล่น ที่ชื่อ โยฮันน์ คาร์ล ฟูห์ลรอตต์ (Johan Carl Fuhlrott) ซึ่งได้ประกาศว่า กระดูกเหล่านี้เป็นร่องรอยของ สมาชิกดั้งเดิมในสายพันธุ์ของพวกเราเอง แต่ก็ไม่ค่อยมีใครเชื่อคุณครูคนนี้สักเท่าไหร่นัก

การค้นพบกระดูกมนุษย์โบราณที่หุบเขานีแอนเดอร์ เป็นช่วงเวลาใกล้ๆ กันกับที่ ชาร์ล ดาร์วิน (Charle Darwin, มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ.2352-2425) ตีพิมพ์ผลงานชิ้นสำคัญของเขาก็คือ กำเนิดสปีชีย์ (The Origin of Species) เมื่อ พ.ศ.2402 ออกมา ผู้ที่ไม่สนับสนุนในทฤษฎีของดาร์วิน ต่างก็ปฏิเสธว่า กระดูกเหล่านี้เป็นของมนุษย์โบราณ แต่เป็นของมนุษย์ปกติธรรมดาอย่างเราๆ นี่แหละ

แต่ก็มีบ้างที่ไปไกลจนเสนอว่าที่กระดูกดูแปลกกว่าปกติ เพราะเป็นกระดูกของผู้ป่วยเป็นโรคกระดูกอ่อน ชายคนนี้คงเจ็บปวดทรมานกับโรคร้ายนี่มาก จนต้องเกร็งหน้าผากตลอดเวลา เลยทำให้คิ้วโก่งนูนกว่าคนทั่วไป บ้างก็ว่าที่กระดูกขาดูโก่งกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด เป็นเพราะเป็นกระดูกของทหารคอสแซก (กลุ่มทหารที่รวมตัวกันในยูเครน และทางตอนใต้ของรัสเซีย) ที่ขี่ม้าหลงทางเข้ามานานจนเกินไปทำให้ขาโก่ง เป็นต้น

การค้นพบกระดูกที่คล้ายกับกระดูกจากหุบเขานีแอนเดอร์ ในช่วงสองสามทศวรรษหลังจากนั้น ทำให้คำอธิบายที่ดูจะใช้จินตนาการมากกว่าหลักฐานเชิงประจักษ์พวกนั้นเงียบเสียงลงไปบ้าง แต่ผู้ที่เชื่อตามทฤษฎีวิวัฒนาการอย่างที่ดาร์วินเสนอ ก็ต้องงงจนตาอาจจะแตกมากกว่าไก่ เพราะกะโหลกของมนุษย์โบราณเหล่านี้ มีค่าเฉลี่ยของขนาดที่ใหญ่กว่ามนุษย์ปัจจุบันมาก ซึ่งก็หมายความถึงขนาดของสมองที่ใหญ่ตามขึ้นไปด้วย

เรื่องนี้จึงออกจะขัดกับความคิดแบบดาร์วินที่ว่า ลิงไร้หาง (ape) ที่มีสมองขนาดเล็ก สืบสาวมาเป็นมนุษย์สมัยวิคตอเรียน ที่มีสมองขนาดใหญ่

 

ดาร์วินเองก็ดูจะอธิบายอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้เช่นกัน ในหนังสือของเขาอีกเล่มหนึ่งคือ การสืบสายพันธุ์ของมนุษย์ (The Descent of Man) ที่ตีพิมพ์ใน พ.ศ. 2414 ดาร์วินได้กล่าวถึงมนุษย์นีแอนเดอร์ธัลอย่างผิวเผินเพียงแค่ว่า

“…ต้องยอมรับว่ากะโหลกศีรษะของยุคโบราณบางชิ้น เช่น กะโหลกของนีแอนเดอร์ธัล พัฒนาอย่างน่าทึ่งและมีขนาดใหญ่มาก…”

แต่ดาร์วินอาจจะอึกอัดใจเกี่ยวกับเรื่องนี้มากกว่าที่เราคิด เพราะในหนังสือเล่มเดียวกันนี้เอง ดาร์วินก็บอกเอาไว้ด้วยว่า

“…ในอนาคตข้างหน้าที่ไม่ไกลนัก หากจะวัดเอาจากหลายศตวรรษที่ผ่านมานี้ เชื้อสายของมนุษย์ที่ศิวิไลซ์ จะกำจัดและแทนที่เชื้อสายของมนุษย์ที่ป่าเถื่อนที่แพร่กระจายอยู่ทั่วทั้งโลก ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น อะไรก็ตามที่ดูจะมีรูปร่างใกล้เคียงกับมนุษย์ (ดาร์วินใช้คำว่า anthropomophous ape, ผู้เขียน)…จะถูกทำลายลงอย่างไม่ต้องสงสัย ความแตกต่างจะถูกถ่างออกจนกว้างยิ่งขึ้น จากการแทรกแทรงของมนุษย์ผู้มีอารยะ เช่นความต่างของคนผิวขาวกับลิงเอปชั้นต่ำอย่างบาบูน แทนที่จะต่างกันแค่ในระดับของพวกนิโกร หรือพวกออสเตรเลียน (พื้นเมือง) กับลิงกอริลล่าอย่างในปัจจุบัน…”

ไม่ต้องสงสัยเลยนะครับว่าดาร์วินนั้นเหยียดสีผิวเป็นอย่างมาก สำหรับเขาแล้วอะไรที่ไม่ใช่คนขาว โดยเฉพาะคนผิวสีนั้นย่อมต่ำต้อยกว่าคนขาว และแทบจะต่างจากลิงเอปไม่มากนัก ร่องรอยที่แสดงให้เห็นถึงสมองขนาดใหญ่ของพวกนีแอนเดอร์ธัล

ซึ่งสำหรับเขาแล้วยังไม่อาจนับเป็นมนุษย์ได้นั้นจึงรกหูรกตาเป็นอย่างยิ่ง

 

ลักษณะของยุคสมัยอย่างนี้เองที่สร้างภาพของมนุษย์นีแอนเดอร์ธัลจนดูป่าเถื่อน เดินหลังโก่ง เข่างอ ต่างจากมนุษย์ในปัจจุบัน (ซึ่งพิสูจน์ได้ในภายหลังว่าไม่จริง) และมีขนขึ้นรกรุงเต็มตัว (ทั้งที่ไม่มีหลักฐานอะไรเลยสักนิด)

บรรพชนห่างๆ ของมนุษย์ทุกคนที่ไม่ใช่ชนชาวแอฟริกันอย่างมนุษย์นีแอนเดอร์ธัล เพิ่งจะได้รับการยอมรับว่าเป็น “มนุษย์” ที่มีวัฒนธรรม เอาก็เมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อผู้คนเบื่อหน่ายกับความโหดเหี้ยมที่มนุษย์กระทำต่อสิ่งมีชีวิตประเภทเดียวกันเอง

และก็เป็นเรื่องตลกร้ายสิ้นดีที่หลักฐานจาก DNA พิสูจน์ให้เห็นว่า มนุษย์ผิวสีอย่างพวกนิโกรต่างหาก ที่สืบสายตรงมาจากอะไรที่แตกต่างจากลิงเอปที่สุดอย่างพวกโฮโม เซเปียนส์

ไม่ใช่คนขาวที่มี DNA ของสิ่งที่ดาร์วินรังเกียจอย่างพวกนีแอนเดอร์ธัล ที่ดาร์วินรังเกียจ และไม่นับว่าเป็นมนุษย์