เกษียร เตชะพีระ : อ่านชาวนาการเมือง (1)

เกษียร เตชะพีระ
AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL

เกริ่นนำ

เมื่อวันรัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคมศกก่อน ผมได้ไปพูดคุยสัมมนาร่วมกับเพื่อนอาจารย์ต่างสาขาวิชา เกี่ยวกับหนังสือเรื่อง ชาวนาการเมือง : อำนาจในเศรษฐกิจชนบทสมัยใหม่ของไทย ของ แอนดรู วอล์คเกอร์ นักมานุษยวิทยาชาวออสเตรเลีย ที่อาจารย์ ดร.จักรกริช สังขมณี แห่งคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แปลและเพิ่งตีพิมพ์ออกมาโดยสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันเมื่อเร็วๆ นี้

เนื่องจากหนังสือเล่มดังกล่าวนำเสนอประเด็นแปลกใหม่น่าสนใจในทางรัฐศาสตร์เกี่ยวกับการเมืองไทยร่วมสมัย ผมจึงใคร่ขอนำสิ่งที่ไปร่วมพูดคุยมาเรียบเรียงเสนอเป็นการประเดิมปีใหม่ในคอลัมน์นี้

ขอเริ่มจากผู้เขียนและความเป็นมาของหนังสือโดยสังเขปก่อน

 

Andrew Walker เดิมเป็นศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยาผู้เชี่ยวชาญเอเชียอาคเนย์ สังกัดคณะการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและสังคม, วิทยาลัยเอเชียและแปซิฟิก, มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลียอยู่นานกว่า 20 ปี จนเพิ่งลาออกสดๆ ร้อนๆ แล้วย้ายมาดำรงตำแหน่งรองประธาน (ฝ่ายวิชาการ) แห่งมหาวิทยาลัย Monash Malaysia ในปัจจุบัน

สำหรับหนังสือ Thailand”s Political Peasants : Power in the Modern Rural Economy (The University of Wisconsin Press, ค.ศ.2012) เล่มนี้ เขาเขียนขึ้นจากการวิจัยภาคสนามต่อเนื่องหลายปีในหมู่บ้านภาคเหนือแห่งหนึ่ง (ที่เขาสมมุติชื่อว่า) “เทียม” ณ ตำบลสะเมิงใต้ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่

ผมเองไม่รู้จักอาจารย์ Andrew Walker เป็นการส่วนตัว แต่ได้ใช้หนังสือ Thailand”s Political Peasants ของเขาประกอบการสอนวิชาสัมมนาการเมืองไทยระดับปริญญาโท-เอกที่คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ต่อเนื่องมาหลายปี จึงได้อ่านและถกอภิปรายหนังสือเล่มนี้ร่วมกับนักศึกษาในชั้นเรียนมา 3-4 รอบจนพอรู้จักเจนตาตามสมควร (และจนกระทั่งหนังสือปกอ่อนเล่มที่ใช้อ่านประจำถึงแก่สันแบะหลุดลุ่ย ต้องเอาไปเย็บเล่มทำปกแข็งใหม่)

ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ผมรู้สึกว่าได้คิด ได้เรียนรู้ ได้ใช้ประโยชน์จากหนังสือ Thailand”s Political Peasants ในการทำความเข้าใจการเมืองไทยปัจจุบันมาก จึงอยากนำมาเล่าต่อและเขียนถึงเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณและเห็นค่างานวิชาการชิ้นนี้ รวมไปถึงการที่ผู้เขียนได้ให้เกียรติเอ่ยถึงและวิจารณ์ตัวผมไว้ในงานด้วย (pp.23-24, ฉบับแปลไทย น.34 ซึ่งกล่าวถึง “ปัญญาชนปีกซ้ายระดับหัวแถวคนหนึ่งของไทย”)

อนึ่ง โดยเหตุความคุ้นชินดังกล่าว ผมจึงขอใช้หนังสือฉบับภาษาอังกฤษเป็นหลักอ้างอิงในการเขียน

ม็อบชาวนาประท้วงรัฐบาลน.ส.ยิ่งลัษณ์ ชินวัตร ปี2557 หลังรัฐบาลจ่ายเงินค้างจ่ายตามโครงการรับจำนำข้าวปี 56/57 ล่าช้า AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL
ม็อบชาวนาประท้วงรัฐบาลน.ส.ยิ่งลัษณ์ ชินวัตร ปี2557 หลังรัฐบาลจ่ายเงินค้างจ่ายตามโครงการรับจำนำข้าวปี 56/57 ล่าช้า AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL

บริบทและโจทย์ชี้นำ

Thailand’s Political Peasants ของ Andrew Walker เป็นงานชิ้นหนึ่งในหนังสือและงานวิจัยหลายชิ้นรอบสิบปีหลังมานี้ที่พยายามตอบโจทย์ใหม่ของการเมืองไทยซึ่งเพิ่งปะทุเผยตัวออกมาชัดเจนในช่วงเวลาดังกล่าว งานในกลุ่มนี้ที่รู้จักอ้างถึงกันในวงวิชาการและสื่อมวลชนก็เช่น :

– นิธิ เอียวศรีวงศ์. รากหญ้าสร้างบ้าน ชนชั้นกลางสร้างเมือง (2552)

– อภิชาต สถิตนิรามัย, ยุกติ มุกดาวิจิตร, นิติ ภวัครพันธุ์. ทบทวนภูมิทัศน์การเมืองไทย (2556) และงานวิจัยชิ้นต่างๆ ของทีมที่เกี่ยวข้อง

– อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์. ประชาธิปไตย : คนไทยไม่เท่ากัน (2557) และ ลืมตาอ้าปาก จากชาวนาสู่ผู้ประกอบการ (2559) รวมทั้งโครงการวิจัยของทีมที่เกี่ยวข้องซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทุกภาคของประเทศ

– Naruemon Thabchumpon & Duncan McCargo, “Urbanized Villagers in the 2010 Thai Redshirt Protests: Not Just Poor Farmers?” (2011); Federico Ferrara, Thailand Unhinged : The Death of Thai-Style Democracy (2011); Charles Keyes, “Cosmopolitan Villagers and Populist Democracy in Thailand” (2012); Claudio Sopranzetti, Red Journeys: Inside the Thai Red-Shirt Movement & “Burning red desires : Isan migrants and the politics of desire in contemporary Thailand” (2012) เป็นต้น

สำหรับโจทย์ใหม่ของการเมืองไทยที่กลายเป็นประเด็นปริศนาซึ่งงานเหล่านี้พยายามค้นหาความกระจ่างคือ :-

1) การรุ่งเรืองขึ้นของระบอบประชาธิปไตยเสียงข้างมาก (the rise of majoritarian democracy) ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งและวิกฤตทางการเมืองต่อเนื่องไม่หยุดหย่อนในรอบทศวรรษที่ผ่านมา

2) อำนาจจากการเลือกตั้งของรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร และพรรคพวก ที่ดูเหมือนมิอาจหยุดยั้งได้ในกรอบของระบบรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ (และฉะนั้นจึงนำไปสู่ม็อบใหญ่และรัฐประหารถึง 2 ครั้ง 2 คราใน พ.ศ.2549 และ 2557)

3) ขบวนการมวลชนเสื้อแดง นปช. (แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ)

หรือกล่าวโดยสรุปอีกนัยหนึ่งก็คือ โจทย์ 3 ข้อที่ว่าเกี่ยวพันกับการประกบประกอบเข้าด้วยกันของ [นักการเมือง+พรรคการเมือง+ขบวนการมวลชน] อันเป็นฝันร้ายที่สุดของรัฐราชการ (bureaucratic polity) ในระบบเลือกตั้งประชาธิปไตย ทั้งนี้ มิไยว่าขบวนการมวลชนนั้นจะโน้มเอียงทางการเมืองไปทางใดก็ตาม

ม็อบชาวนาประท้วงรัฐบาลน.ส.ยิ่งลัษณ์ ชินวัตร ปี2557 หลังรัฐบาลจ่ายเงินค้างจ่ายตามโครงการรับจำนำข้าวปี 56/57 ล่าช้า AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL
ม็อบชาวนาประท้วงรัฐบาลน.ส.ยิ่งลัษณ์ ชินวัตร ปี2557 หลังรัฐบาลจ่ายเงินค้างจ่ายตามโครงการรับจำนำข้าวปี 56/57 ล่าช้า AFP PHOTO / PORNCHAI KITTIWONGSAKUL

ประเด็นใหม่น่าสนใจ

ผมเห็นว่าหนังสือ ชาวนาการเมือง ของ แอนดรู วอล์คเกอร์ นำเสนอประเด็นใหม่หลักๆ ที่น่าสนใจไว้ 3 ประเด็นด้วยกัน กล่าวคือ 1) ชาวนารายได้ปานกลางในประเทศรายได้ปานกลาง 2) ท่าทีความสัมพันธ์ของชาวบ้านกับผีในฐานะตัวแบบจำลองความสัมพันธ์กับสถาบันอำนาจต่างๆ และ 3) สังคมการเมืองของชาวนาไทย โดยผมขอเล่าไปตามลำดับดังนี้

1) ชาวนารายได้ปานกลางในประเทศรายได้ปานกลาง

ทุกวันนี้ คนจนหรือเกือบจนเป็นเพียงคนส่วนน้อยในชนบทไทย เฉลี่ยแล้วมีประมาณ 20-30% ของครัวเรือนชนบททั้งหมด ขณะที่ชาวนารายได้ปานกลางมีประมาณ 60-80% ของครัวเรือนชนบท โดยลดหลั่นมากน้อยต่างกันไปตามแต่ละภูมิภาคของประเทศ

เพราะฉะนั้น คนจนจึงไม่ใช่คนส่วนใหญ่ในชนบทแล้ว ประเด็นหลักแห่งชีวิตความเป็นอยู่ของคนชนบทจึงไม่ใช่การดิ้นรนเอาชีวิตรอด (survival) ชาวนาส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในฐานะแค่พอเพียงเลี้ยงตนเองอีกต่อไป

ในความหมายนี้ เศรษฐกิจชนบทจึงไม่ได้อยู่ในภาวะ moral economy หรือ “เศรษฐกิจศีลธรรม” ตามนิยามของ James C. Scott นักรัฐศาสตร์อเมริกันในหนังสือลือชื่อเรื่อง The Moral Economy of the Peasant : Rebellion and Subsistence in Southeast Asia (1976) อีกต่อไป

และฉะนั้นหลักประพฤติปฏิบัติทางเศรษฐกิจของชาวนาชนบทจึงไม่ใช่เรื่องของ subsistence ethic (จริยธรรมแห่งการพึ่งตนเองเลี้ยงตนเอง) ซึ่งเน้นลดความเสี่ยงให้ต่ำสุด เอาความมั่นคงปลอดภัยไว้ก่อน ให้มีพออยู่พอกินและเอาตัวรอดได้เป็นสำคัญ – อย่างที่เคยเป็นมาในภาวะ “เศรษฐกิจศีลธรรม” แต่ก่อน

หากกลายเป็นสภาพที่มีลักษณะเด่น 4 ประการ กล่าวคือ (pp. 8-9; ฉบับแปลไทย หน้า 8-10) :

1) ไม่ยากจนดังก่อนแล้ว

2) ทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างหลากหลาย ทั้งปลูกข้าวและปลูกพืชเศรษฐกิจอย่างอื่น ทั้งทำการเกษตรและทำงานนอกภาคเกษตรเช่นรับจ้าง ก่อสร้าง ฯลฯ และทั้งอยู่ในหมู่บ้านชนบทและออกไปทำงานในเมืองใหญ่หรือต่างประเทศ

3) เกิดความเหลื่อมล้ำแบบใหม่ทั้งในหมู่ชาวชนบทร่วมหมู่บ้านด้วยกันและระหว่างหมู่บ้านชนบทกับเขตเมืองใหญ่ทั่วประเทศ

4) สถานะชาวนารายได้ปานกลางของคนชนบทต้องอาศัยงบประมาณและทรัพยากรจากภาครัฐมาอุ้มชูไว้อย่างสำคัญ

สาเหตุที่ชาวนารายได้ปานกลางของไทยต้องอาศัยการอุดหนุนจากรัฐมาค้ำจุนฐานะของตนไว้นั้นก็เพราะผลิตภาพในการปลูกข้าวและภาคเกษตรโดยรวมของพวกเขาต่ำกว่าผลิตภาพในภาคเศรษฐกิจอื่นของไทยมาก ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรมหรือบริการ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงแรงงานที่ยังติดค้างกองกันอยู่ในภาคเกษตรชนบทเป็นจำนวนมากกว่าแรงงานในภาคเศรษฐกิจอื่น และผลิตภาพดังกล่าวก็ยังต่ำกว่าของอีกหลายประเทศโดยเปรียบเทียบด้วย ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งก็เพราะกำลังเงินทุนที่ต่ำของชนบทไทย

ท่าทีทางสังคมและการเมืองของชาวนารายได้ปานกลางของไทยจึงไม่ใช่และไม่เหมือนท่าทีของชาวนาเลี้ยงตนเองพึ่งตนเองแบบเก่า ที่มีแนวโน้มระแวงแคลงใจรัฐและทุนภายนอก ว่าจะรุกเข้ามาแย่งชิงกะเกณฑ์เอาผลผลิต ทรัพยากรหรือแรงงาน ฯลฯ จากชนบทไป

ตรงกันข้าม ท่าทีของชาวนารายได้ปานกลางเป็นแบบเปิดรับโลกภายนอก เป็นการผลิตเพื่อค้าขายเต็มที่ เป็นทุนนิยมตลาดเต็มตัว ถึงขั้นที่มี “ชาวบ้านนอกท้องที่” (extra-local residents) เกิดขึ้น คือชาวบ้านที่ย้ายไปทำงานในเมืองหรือต่างประเทศแล้ว แต่ใจยังผูกพันฝักใฝ่กับหมู่บ้าน ส่งเงินรายได้มาจุนเจือครอบครัวญาติพี่น้องเป็นประจำหรือลงทุนซื้อที่ปลูกบ้านใหม่ ยังถือตนเป็นสมาชิกสังกัดหมู่บ้านด้วยคนหนึ่ง ใฝ่ฝันว่าจะได้กลับมาอยู่บ้านเกิดสักวันหนึ่งข้างหน้า ฯลฯ

ดังนั้น พวกเขาจึงต้องการเชื่อมต่อทั้งกับรัฐ-ทุน-หน่วยราชการ-เอ็นจีโอที่ให้ความสำคัญต่อชุมชน/เศรษฐกิจพอเพียงเอาไว้ ดึงรั้งให้เข้ามา เพื่อตะล่อมและดึงเอางบประมาณ เงินทุน ทรัพยากร เทคโนโลยีมาใช้เพิ่มพูนผลิตภาพของตน

วันที่ 3 พฤศจิกายน 2559 นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางลงพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและจังหวัดสุรินทร์ เพื่อเยี่ยมเยือนชาวนาและรับฟังปัญหาความเดือดร้อนจากวิกฤตราคาข้าวตกต่ำในปัจจุบัน ระหว่างทางที่จังหวัดศรีสะเกษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แวะพบชาวนากลางทุ่งนาขณะที่กำลังเกี่ยวข้าวที่บ้านโชคอุดม ต.ผือใหญ่ อ.โพธิ์ศรีสุวรรณ จ.ศรีสะเกษ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พบชาวนากลางทุ่งนาขณะที่กำลังเกี่ยวข้าวที่บ้านโชคอุดม ต.ผือใหญ่ อ.โพธิ์ศรีสุวรรณ จ.ศรีสะเกษ (วันที่ 3 พฤศจิกายน 2559)

เราอาจตีความสรุปจากงานของ Walker ได้ว่า แทนที่ชนบทไทยจะมีสภาพเป็นเศรษฐกิจศีลธรรมและปฏิบัติจริยธรรมแห่งการพึ่งตนเองเลี้ยงตนเองดังก่อน บัดนี้มันได้กลายเป็นสังคมการเมือง (political society) ที่ยึดหลักการทางการเมือง 2 ประการในการเรียกร้องต่อรองกับรัฐบาลแทน กล่าวคือ (อนึ่ง 2 ข้อนี้ไม่ใช่การสรุปของ Walker แต่ผมสรุปขึ้นเองโดยอาศัยข้อคิดข้อมูลในหนังสือของเขา) :

1) Lifesaver Politics หรือการเมืองแบบขอห่วงชูชีพจากรัฐบาลมาช่วยชาวบ้านในยามยาก เช่น ขอความช่วยเหลือบรรเทาทุกข์เมื่อประสบภัยธรรมชาติน้ำท่วมฝนแล้ง, ขอให้จำนำข้าว จำนำยุ้งฉาง ประกันราคาพืชผล เมื่อราคาผลผลิตตกต่ำ, ขอลดหย่อนผ่อนผันหนี้สินเมื่อหนี้สินล้นพ้นตัวใกล้เสียที่ดินติดจำนอง แก่ ธกส. ฯลฯ และ

2) Pushing-Ashore Politics หรือการเมืองแบบผลักขึ้นฝั่ง เพราะชาวนารายได้ปานกลางกำลังเคลื่อนที่อยู่ (ไม่ได้หยุดนิ่ง) คือว่ายน้ำ (ทางเศรษฐกิจ) อยู่กลางทะเล (ตลาดทุนนิยม) อันเวิ้งว้าง โดยมีจุดมุ่งหมายคือขึ้นฝั่ง (ไปครองชีพตามมาตรฐานของคนชั้นกลางในเมืองมั่ง) ให้จงได้ เพื่อการนี้ พวกเขาจึงคาดหวังมาตรการเกื้อกูลหนุนเสริมผลักดันรุนหลังด้วยประการต่างๆ จากรัฐบาล เพื่อให้พวกเขาว่ายขึ้นฝั่งได้สำเร็จในที่สุด

เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค, แปลงสินทรัพย์เป็นทุน, สินเชื่อ SMEs, หรือแม้แต่ บริษัทประชารัฐรักสามัคคี (ประเทศไทย) จำกัด ในปัจจุบัน เป็นต้น

(ต่อสัปดาห์หน้า)