จรัญ พงษ์จีน : ศึกเลือกตั้งผ่านไป ศึกตั้งรัฐบาลใหม่มาแล้ว

จรัญ พงษ์จีน

“ศึกเลือกตั้ง 62” ยังมีประเด็นดราม่าต้องมานั่งเคลียร์กันอีกหลายปมเงื่อนผลการนับคะแนนว่าที่ ส.ส.เขตเลือกตั้ง-บัญชีรายชื่อ จำนวน 500 ที่นั่ง ซึ่ง “คณะกรรมการการเลือกตั้ง” รับอานิสงส์ไปเต็มๆ ทั้งถูกประณามตราหน้า ต่อว่าต่อขานสารพัด แถมถูกเข้าชื่อถอดถอน

“กกต.” ตกที่นั่งหมู่บ้านกระสุนตกอย่างหนัก ก่อนมารับตำแหน่งแห่งหน เห็นหนังตัวอย่างจาก “กกต.” ชุดก่อนๆ มั้ย …เห็น…มาหลายชุด “รู้อะไรมั้ย” รู้…ว่าติดคุกหัวโตกันมาแล้ว

“ไหง” เมื่อรู้ทั้งรู้ เห็นทั้งเห็น ยังมารับตำแหน่งกันอีก …เพราะ “ความอยาก” จึงเกิดการแสวงหา…การแสวงหาคือต้นเหตุของการติดคุก

พักประเด็นผลการนับคะแนนศึกเลือกตั้ง รอให้สะเด็ดตามกรอบในวันที่ 8 พฤษภาคม 2562

สถานการณ์ลำดับถัดไป “โฟกัส” ไปที่การจับขั้วฟอร์มรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารประเทศชุดใหม่

กลุ่มไม่เอา คสช.ชิงไหวชิงพริบอุปโลกน์ตัวเองแบบเนียนได้ใจว่า “ฝั่งฝักใฝ่ประชาธิปไตย” มุ่งสร้างกระแสได้เวิร์กมากๆ ผลักอีกฝ่ายกลายเป็น “ลูกเป็ดขี้เหร่” ไปทันทีทันใด

แพ็กกันเป็นทีมได้เหนียวแน่นหนึบๆ ประกอบด้วย “พรรคเพื่อไทย” 137 ที่นั่ง “อนาคตใหม่” 87 ที่นั่ง “เสรีรวมไทย” 11 ที่นั่ง “ประชาชาติ” 6 ที่นั่ง และ “เพื่อชาติ” 5 ที่นั่ง รวมศิโรราบ 246 เสียง

5 พรรคผนึกกำลังกันแข็งโป๊กระดับตู้นิรภัย หากได้ 7 เสียงจาก “พรรคเศรษฐกิจใหม่” ของ “ลุงมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์” ยอดรวมก็ทะลุเพดาน 250 เสียง จะเกิดความชอบธรรมโดยพลัน

ด้วยเงื่อนไขดังกล่าว 7 เสียงของเศรษฐกิจใหม่ กลายเป็น “ตัวแปร” พลิกสถานะจากก้อนกรวด ตัวประกอบปลายแถว แปรสภาพเป็น “ทองคำ” ประวัติศาสตร์การเมืองไทย อาจจะซ้ำรอย หัวหน้า “พรรคเล็ก” ได้เป็นนายกรัฐมนตรี

ไหลย้อนกลับไปสู่ปี 2518 ที่ 18 ที่นั่งของกิจสังคม ชักส่งให้ “ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช” ขึ้นทำเนียบนามนายกรัฐมนตรีมาแล้ว ต้องยอมรับว่าเผื่อฟลุก บุญจะหล่นทับตีนบวม 7 เสียง มีอิทธิฤทธิ์เหลือจะกล่าว “ลุงมิ่งขวัญ” เลยตีกรรเชียงต้องหลบฉาก พักเบรกการเมืองไปชั่วคราว รอให้ กกต.ประกาศตัวเลขให้ชัดๆ ก่อนว่ามีจำนวนเท่าไหร่กันแน่ จึงมาแสดงจุดยืน

 

ตามไปดูอีกฝั่ง มี “พรรคพลังประชารัฐ” เป็นแกนนำ แม้จะได้ ส.ส.เขตเลือกตั้งมาน้อยไปหน่อย คือ 97 ที่นั่ง แต่ได้ ส.ส. “บัญชีรายชื่อ” หรือ “ปาร์ตี้ลิสต์” อีก 21 ที่นั่ง รวม 2 ระบบ 118 เสียง

เหนือสิ่งอื่นใดคือ “ป๊อปปูลาร์โหวต” ฐานคะแนนโดยรวมท่วมท้นล้นหลามมากที่สุด 8.4 ล้านเสียง ขณะที่ “เพื่อไทย” ได้ที่นั่ง ส.ส.เขตเลือกตั้งมามากกว่าก็จริง แต่ “ป๊อปปูลาร์โหวต” มียอดรวมแค่ 7.9 ล้านเสียง

กฎข้อบังคับของการฟอร์มรัฐบาลตามองค์ประกอบนี้ “พปชร.” สรุปว่า ตัวเองมีความชอบธรรมในการจัดตั้งรัฐบาลสูงกว่าและมากกว่า

อย่างไรก็ตาม โดย “ข้อเท็จจริง” ซีก พปชร.ยังสะเปะสะปะ ไม่น่าอภิรมย์ใจสักเท่าไหร่ “พรรคแนวร่วม” ที่วางแผนว่าจะมาจับมือเป็นพันธมิตรกันหลังเสร็จศึก ยังตีล่องหนเล่นลม

“ภูมิใจไทย” ของ “เสี่ยหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” รู้ว่ามาร่วมวงไพบูลย์แน่ แต่ยังไม่ตอบรับอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ชนิดจะ-จะ เช่น ร่วมลง “สัตยาบัน” มีแต่ “ชาติไทยพัฒนา” 10 เสียง ที่ชัวร์ป้าบ แหงนคอรอคอยพร้อม “เสียบ”

ที่เหนื่อยมากและยากที่สุด คือบรรดา “พรรคขนาดเล็ก” ระดับฟันเฟืองตัวน้อยๆ มีแค่ 1-2 เสียง รวมแล้ว 12-15 ที่นั่ง ต้องส่งแกนนำขาใหญ่ ทั้ง “กลุ่มสามมิตร-สี่กุมารทอง” ไปไล่ล่าขี่ช้างจับตั๊กแตนกันชนิดป่าลั่นแผ่นดินสะเทือน

มีข่าวคลุกวงในระบุว่า มีพรรคคนกันเอง สมองใส แสบเหนือคำบรรยาย “แอบสมคบคิด” ไล่จับ ส.ส.พรรคเล็กมาเข้าสังกัดตนเอง มัดลงเข่งเดียวกัน ที่นั่งรวมกัน 12 เสียง ทำให้ “มุ้ง” จะมีอำนาจต่อรองสูงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ สามารถต่อรองเก้าอี้เกรดเอจาก “พปชร.” ได้สบายๆ โปรดติดตามดูกันตอนต่อไปว่า ต่อรองเอากระทรวงไหน

ที่ทำเอา “ลุงตู่ปวดตับ” เสียเซลฟ์มากที่สุด กลายเป็น “พรรคประชาธิปัตย์” หัสเดิมคิดว่าผ่าด่านข้ามกำแพง “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ที่ทำพรรคแต้มพ่ายแพ้พลังประชารัฐ และได้ ส.ส.ต่ำกว่าเป้า 100 ที่นั่ง ต้องไขก๊อกออกจากตำแหน่งตามที่ลั่นสัจวาจาไว้

ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามนั้น ประชาธิปัตย์หมดรูป เสียมวยไม่เหลือซากแชมป์เก่า ขนาดว่าสนาม กทม. ถูกถอนรากถอนโคนไม่เหลือแม้แต่ตอสักที่นั่งเดียว

พื้นที่เข้มแข็ง 14 จังหวัดภาคใต้ 50 ที่นั่ง ถูกกัลยาณมิตรทั้ง “พปชร.” และ “ภูมิใจไทย” ยึดหัวหาดไปเกือบครึ่ง แถมถูกเยาะเย้ยถากถางว่า เลือกตั้งครั้งนี้ “เสาไฟฟ้า” ปักษ์ใต้บ้านเราล้มเป็นเบือ ไม่ว่างเว้นแม้กระทั่งจังหวัดตรัง ถิ่นของ “นายหัวชวน หลีกภัย”

ที่แสบมากๆ ขอบอกข้ามเงื่อนไข “อภิสิทธิ์ต่ำร้อย” เรียบร้อยแล้ว แทนที่งานจะง่าย กลายเป็นว่า “แกนนำพรรคประชาธิปัตย์” ประกาศจุดยืนคล้ายกับว่า จะวางตัวเป็นกลาง ไม่จับขั้วกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ทั้ง “ฝั่งมิตรดี” ที่สนับสนุน “บิ๊กตู่” เป็นนายกฯ

หรือ “ซีกเพื่อนเลว” ที่มีเพื่อไทยเป็นแกนนำ ก่อมรรคผลให้การฟอร์มรัฐบาล ทำท่าจะเดตล็อก

กระนั้นก็ตาม ดังที่ทราบ รัฐธรรมนูญฉบับ “ปราบโกง” ประติมากรรมไว้ได้เหลือรับประทานมาก ช่วง 5 ปีแรก ตอนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ทาง “ส.ว. 250 คน” ที่จะประกาศชื่อหลังรับรองผล ส.ส.ใน 3 วันไปแล้วนั้น

“250 ส.ว.” มีเป็น “ตัวช่วย” สำคัญให้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” คัมแบ๊กตึกไทยคู่ฟ้ารอบ 2 ได้สำเร็จ “ปาฏิหาริย์” จะไม่มีจริง ที่ “เพื่อไทย” จะชิงจัดตั้งรัฐบาลได้ เพราะผลการเลือกตั้งออกมาแบบนี้ ต่อให้ชาติหน้าตอนบ่ายๆ ก็หาเสียงสนับสนุนได้ไม่ถึง 376 ที่นั่ง

สรุปแล้ว “บิ๊กตู่” จะตกม้าตายไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งน่ะไม่น่ากลัว แต่ “ที่น่ากลัว” และสยองพองขนมากกว่าคือ อยู่ได้นานเท่าไหร่?