เรื่องสั้น | ที่สุดปลายสายรุ้ง

ผู้ชายสามคนที่เดินเข้ามาในร้านเหล้าของโจ ด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อยเหมือนเพิ่งลงจากรถบัสเกรย์ฮาวด์ ทั้งดูไม่น่าจะเป็นพวกที่เดินทางมาด้วยกัน แต่ทั้งสามก็เข้ามานั่งโต๊ะเดียวกันและสั่งเครื่องดื่ม คนผิวดำร่างใหญ่ผมชี้ฟูพร้อมหนวดเคราถูกย้อมจนเป็นสีทองแดงร้องสั่งเบอร์เบิ้น ส่วนคนผิวขาวซีดผมสีทองประกายเงินสั่งวอดก้า คนที่ดูมีอายุหน่อยหัวเถิกใส่แว่นและหมวกสั่งวิสกี้ โจพยักหน้ารับคำสั่งและรีบเทเครื่องดื่มบริการ ตอนนั้นเป็นเวลาดึกแล้ว ไม่มีลูกค้าเหลือและโจตั้งใจจะปิดร้านอยู่แล้ว แต่เมื่อมีลูกค้าใหม่เดินเข้ามา โจก็กุลีกุจอให้บริการ เพราะระยะหลังกิจการไม่ค่อยดีนัก ผู้คนดูจะหายไปจากท้องถนนของเล็กซิงตันอเวนิวในนิวยอร์ก ที่ซึ่งสายฝนฤดูใบไม้ร่วงมักจะโปรยลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

“สวัสดีครับ พวกเรามาไกลและเพิ่งเคยมานิวยอร์กครั้งแรก อยากถามเรื่องราวอะไรหน่อย ถ้าไม่รังเกียจ”

ชายผมทองเอ่ยกับโจที่เดินมาบริการเครื่องดื่ม

“มีอะไรครับ” โจถาม

“นั่งด้วยกันก่อนสิครับ” ชายผมทองเอ่ย

“เราอยากถามเรื่องที่ลงข่าวในหนังสือพิมพ์ ที่จริงเรื่องก็เกิดมาหลายเดือนแล้ว และตอนนี้ก็เงียบๆ ไป พวกเราเคยไปตามข่าวที่สถานีตำรวจ แต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไรนัก เลยอยากมาดูสถานที่ใกล้ๆ ที่เกิดเหตุ เผื่อมีใครพอจะบอกอะไรได้บ้าง”

ชายผมทองเอื้อมไปเปิดกระเป๋าเอกสารข้างตัวและหยิบกระดาษที่มีหนังสือพิมพ์ตัดแปะอยู่หลายแผ่น “นี่ครับ ข่าวที่ลงไว้เกี่ยวกับสาวสังคมชั้นสูงถูกจับเรื่องพัวพันกับยาเสพติด หลังจากได้ประกันตัวเธอก็หนีหายไป เห็นว่าไปอเมริกาใต้ที่บราซิล ไม่ทราบคุณพอจะรู้เรื่องนี้มั้ยครับ อพาร์ตเมนต์ของเธออยู่ไม่ไกลจากที่นี่”

โจชะงักไปเสี้ยววินาที พยายามทำสีหน้าให้ปกติ แม้ว่าเสียงจะพร่าไป “พวกคุณต้องการอะไร เป็นพวกหนังสือพิมพ์หรือนักสืบ เรื่องนี้จบไปนานแล้ว ไม่มีอะไรน่าขุดคุ้ย” โจรีบลุกขึ้น “ร้านปิดแล้ว พวกคุณรีบดื่ม จ่ายเงินแล้วกลับได้” โจรีบผลุนผลันออกจากวงสนทนา

“คุณไม่อยากรู้หรือว่า เรามาถามเรื่องนี้ทำไม” ชายผิวดำโพล่งขึ้นมา ทำให้โจหยุดชะงัก แล้วหันกลับมามองทั้งสามคน “ผมไม่อยากรู้หรอก พวกคุณกลับไปได้แล้ว”

“ดูเหมือนคุณน่าจะเป็นคนสุดท้ายที่เจอเธอก่อนหนีไปนะ เราทราบมาว่าคุณเช่ารถลิมูซีนไปสนามบินในวันที่เธอบินออกนอกประเทศ”

“คุณมีหลักฐานอะไร ผมไม่เคยรู้จักมักจี่กับแม่สาวชั้นสูงอะไรนี่มาก่อน นอกจากที่ได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์”

“เอาเถอะน่า มานั่งคุยกันก่อน พวกเราพอจะรู้เรื่องคุณกับเธอ คุณไปแขวนป้าย “ร้านปิด” ก่อนก็ได้ แล้วมานั่งคุยกัน”

โจจ้องมองชายทั้งสามทีละคน ลังเลสักครู่ แล้วก็ยอมเดินไปกลับป้ายแขวนที่หน้าร้าน ดึงมู่ลี่ลง แล้วเดินไปนั่งร่วมโต๊ะ

“ผมชื่อลีโอ” ชายผิวดำผมฟูยื่นมือมาที่โจเพื่อจับมือ แต่โจกลับกอดอกนิ่งเฉย หรี่ตาอย่างไม่ไว้ใจ

ลีโอเลยแก้เขินด้วยการผายมือไปที่ชายผมทอง “นี่ทินนี่ ส่วนนั่นหมอเอสซี ผู้โด่งดัง”

“โด่งดังทางไหนมิทราบ” โจถามด้วยน้ำเสียงเรียบราบ

“อ้าว นี่คุณไม่รู้จักหมอเอสซี จิตแพทย์ดังหรอกหรือ”

“ไม่เคยได้ยิน” โจส่ายหน้า

“เอาเถอะ เรามาเข้าเรื่องดีกว่า” ทินนี่พูดพลางกระดกแก้วเครื่องดื่ม “เรามากันไกลโข แล้วก็เหนื่อยชะมัด คุณโจใช่มั้ย” ทินนี่บุ้ยใบ้ไปที่ป้ายนีออนหลังเคาน์เตอร์บาร์ที่ส่องแสงหลากสีว่า “บาร์ของโจ”

“รีบว่ามาเถอะ ผมก็เหนื่อย อยากกลับบ้านนอนพักเหมือนกัน” โจตอบ

“ก็เรื่องแม่สาวในข่าวนี่แหละ พวกเรามาตามหาเบาะแส ก่อนที่เราคิดจะบินไปบราซิล”

“พวกคุณสามคนอยากรู้อะไรอีก ในหนังสือพิมพ์ก็เขียนไว้หมดแล้ว”

“เราอยากรู้ทุกอย่างที่คุณรู้เกี่ยวกับเธอ”

“แล้วผมจะได้อะไร”

“บางทีนะ เราอาจจะเล่าเรื่องของเธอก่อนที่จะมานิวยอร์กให้คุณฟังก็ได้ ถ้าคุณสนใจ”

“เรื่องนั้นผมรู้แล้ว เธอเคยแต่งงานตอนอายุ 14 กับด๊อก พ่อม่ายลูกติดไง ในหนังสือพิมพ์ก็เคยลงไว้แล้ว”

“ไม่ใช่เรื่องนั้น เรื่องของเธอก่อนที่จะมาอยู่บ้านด๊อกน่ะ”

ถึงตอนนี้ หมอเอสซีเริ่มกระแอมไอ เหมือนส่งเสียงประท้วง แต่ลีโอและทินนี่ไม่สนใจ

“นี่ ผมมาเจออะไรเข้า สามปราชญ์* ผู้นำข่าวประเสริฐหรือไง” โจพูดเชิงกระแหนะกระแหน

(*Three wise men สามนักปราชญ์ผู้ได้เข้าเฝ้าพระกุมารเยซูในวาระแรกประสูติในรางหญ้า)

หมอเอสซีเริ่มไอเสียงดัง “คุณหมอน่าจะต้องไปหาหมอซักหน่อยนะ” โจหันไปพูดด้วย

“ผมไม่เป็นอะไรหรอก คุณไม่ต้องเป็นห่วง แค่เดินทางไกลไปหน่อย ยังไม่ชินกับอากาศในนิวยอร์ก วิสกี้คงช่วยได้” หมอตอบแล้วกระดกเครื่องดื่ม จากนั้นก็ปิดปากไอต่อ

“เรามาเข้าเรื่องดีกว่า” ลีโอขัดขึ้น “คุณพอจะบอกอะไรเกี่ยวกับเธอที่นิวยอร์กให้เรารู้บ้าง นอกเหนือจากในหนังสือพิมพ์ เราจะได้แกะรอยตามเธอถูก”

“ผมจะบอกให้ก็ได้ แต่มีข้อแม้ คุณต้องบอกว่ามาตามเธอทำไม แล้วถ้าหากคุณตามเธอเจอ คุณต้องส่งข่าวให้ผมรู้ด้วย ผมอยาก… เอ้อ… เจอเธอเหมือนกัน แล้วก็ถ้าพวกคุณเจอเธอแล้ว คุณจะทำอะไรกับเธอ ส่งตัวเธอให้ตำรวจหรือไง ถ้าเป็นยังงั้น ผมคงไม่เล่าให้ฟังหรอก” โจพูดแทบไม่เว้นวรรค

ทินนี่รีบเอ่ยตอบ “พวกเราไม่เกี่ยวกับตำรวจหรอก เรื่องนั้นคุณไว้ใจได้ และเท่าที่เราไปคุยกับตำรวจ พวกนั้นไม่สนใจคดีนี้แล้ว เพราะตัวใหญ่แซลลีก็ตายในคุกไปแล้ว ไม่มีพยานอะไรให้สาวถึงเธออีก ส่วนที่พวกเรามาตามเธอทำไมนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องในครอบครัว ไม่ใช่ครอบครัวด๊อก หรือครอบครัวบาร์น ที่เป็นชื่อที่เธอเรียกตัวเองกับเฟรด พี่ชาย ซึ่งก็ไม่ใช่พี่แท้ๆ อีกนั่นแหละ”

“เอาละ คุณเล่าเรื่องเธอให้ฟังดีกว่า แล้วเราอาจจะเล่าเรื่องอดีตของเธอให้คุณฟัง”

โจเริ่มรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา เขาเริ่มเล่าเรื่องของเธอตอนที่มาเช่าห้องที่ตึกบราวน์สโตนเก่าแห่งนั้น ใช้ชีวิตตามงานปาร์ตี้กลางคืน คบหาผู้ชายที่มีเงินถุงเงินถัง แต่ไม่จริงจังกับใคร แม้แต่เศรษฐีเพลย์บอยอย่างรัสตี้ ทรอว์เลอร์ ผู้หลงรักเธอหัวปักหัวปำ แต่เขาดันไปแอบแต่งงานกับเพื่อนสาวคนสนิทของเธอ นัยว่าเพื่อเป็นการแก้แค้นที่เธอไปสนิทกับโฮเซ่ หนุ่มนักการทูตบราซิลที่เป็นคนรักของเพื่อนสาวคนสนิทคนนั้นเอง พอมีเรื่องพัวพันกับยาเสพติด โฮเซ่ก็ตีตัวออกห่างทันทีเพราะกลัวจะเสียชื่อเสียง ทั้งๆ ที่ตอนนั้นเธอตั้งท้องอ่อนๆ และมีแผนจะไปริโอด้วยกัน ขนาดซื้อตั๋วกันแล้ว “ไอ้บัดซบโฮเซ่ แค่ให้คนมาแอบเก็บของส่วนตัวของมันที่อพาร์ตเมนต์ของเธอ กับส่งจดหมายขอเลิก มันไม่ได้รู้สึกเสียใจซักนิดหรือคิดจะช่วยเธอ มันแค่ไม่อยากถูกลากไปแปดเปื้อน” โจพูดพร้อมกัดฟันกรอด

“แล้วจะให้เธอทำยังไงต่อได้ล่ะ แท้งลูกเพราะอุบัติเหตุ ตัวคนเดียว เธอไม่ต้องการอยู่หลังกรงขังกับคดีที่เธอไม่ได้คิดว่าตัวเองทำ เธอเลยเลือกที่จะเผ่นด้วยตั๋วไปริโอที่ซื้อไว้แล้ว แต่จะไปเจอกับโฮเซ่หรือเปล่า ผมไม่รู้ คิดว่าน่าจะไม่ เธอเอาตัวรอดเก่ง พวกคุณคงรู้ดี” โจกล่าวจบแล้วถอนหายใจเฮือก

“เรื่องพวกนี้เราพอจะรู้มาบ้างแล้ว หลังจากนั้น คุณได้ข่าวเรื่องของเธออีกหรือเปล่า” ลีโอเอ่ยถาม

“ไม่มีข่าวจากเธอโดยตรงหรอก แต่ผมบังเอิญเจอรูปภาพในหนังสือพิมพ์ที่ถ่ายโดยมิสเตอร์ยูนิโอชิ ช่างภาพชาวญี่ปุ่นที่เคยเช่าห้องในตึกเดียวกับเธอ ผมจะเอาให้ดู” โจเดินไปหยิบหนังสือพิมพ์ที่ซ่อนอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์ออกมาให้แขกทั้งสามดู เป็นหนังสือพิมพ์เก่าตีพิมพ์รูปถ่ายชายผิวดำยืนถือรูปแกะสลักไม้ครึ่งตัว “นี่ไง รูปที่ยูนิโอชิถ่ายที่แอฟริกา เหมือนเธอมากใช่มั้ยล่ะ” ทั้งสามดูรูปถ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วต่างพยักหน้า “ถ้างั้นเธอก็ไปแอฟริกาแล้วน่ะสิ” ลีโอพูดขึ้นมา “แล้วคุณคุยกับนายช่างภาพนั่นได้ข่าวเพิ่มเติมอะไรมั้ย”

“เรื่องนี้ผมถามแล้ว ยูนิโอชิก็บอกอะไรได้ไม่มาก เขาพยายามขอซื้อไม้แกะสลักจากหนุ่มผิวดำแล้ว แต่เจ้าของไม่ขาย บอกว่าเขาแกะสลักเพื่อเป็นที่ระลึกถึงสาวผิวขาว ที่แวะผ่านหมู่บ้านมาพร้อมกับชายผิวขาวอีกสองคน เธอมีความสัมพันธ์กับเขาด้วย เลยรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ แต่ผมว่ามันโม้มากกว่า แล้วเธอก็ออกจากหมู่บ้านนั้นไป แต่จะไปไหนไม่มีใครบอกได้ ยูนิโอชิก็หมดหนทางที่จะตามร่องรอยของเธอต่อ”

“ถ้างั้น ตอนนี้เธอก็ไม่อยู่บราซิลแล้วสินะ เธอไปแอฟริกา แต่จะไปไหนต่อก็ไม่รู้ได้” ทินนี่พึมพำ

“เอาละ ขอบคุณมากโจที่เล่าให้ฟัง เราคงต้องไปสืบเรื่องเพิ่มเติมจากที่อื่นแล้ว” ลีโอทำท่าลุกขึ้นยืน

“อะไรกัน พวกคุณยังไม่ได้เล่าเรื่องเธอให้ผมฟังเลย” โจท้วงขึ้น

“ก็เรื่องที่คุณเล่าส่วนใหญ่เราก็พอรู้มาบ้างแล้ว จากที่คุยกับคนอื่นๆ”

“นี่จะผิดสัญญากันหรือไง” โจเริ่มเสียงดัง

หมอเอสซีกระแอมขึ้น “พวกเราจะเล่าให้คุณฟังแน่ แต่ผมอยากรู้เพิ่มเติมอีกหน่อยเกี่ยวกับเธอที่นิวยอร์ก เธอชอบไปที่ไหนเป็นพิเศษมั้ย แล้วเธอชอบทำอะไรที่เป็นบุคลิกเฉพาะของเธอน่ะ แบบที่คนสนิทอย่างคุณเท่านั้นที่รู้ หรือเธอมีเพื่อนสนิทคนอื่นๆ อีกมั้ย เล่าให้เราฟังเพิ่มอีกหน่อย”

โจทำท่าลังเล “ผมจะเล่าก็ได้ แต่พวกคุณต้องเล่าเรื่องเธอให้ผมฟังด้วย เธอเลี้ยงแมวอยู่ตัวหนึ่ง ไม่ยอมตั้งชื่อให้เพราะเธอไม่คิดว่าจะลงหลักปักฐานแถวนี้ เธอไม่คิดว่าที่นี่เป็นบ้านหรอก ก่อนที่เธอจะหนีไปริโอ เธอพยายามเอาแมวไปปล่อย แต่พอปล่อยไว้แถวฮาเล็มแล้ว นั่งรถไปสักครู่เกิดเปลี่ยนใจกลับไปตามหามันแต่ไม่เจอตัวเสียแล้ว เพื่อนสนิทของเธออีกคนเป็นนักเขียน เช่าห้องในตึกเดียวกัน เธอเรียกเขาว่าเฟรด โดยบอกว่าเขาเหมือนเฟรดพี่ชายที่โดนเกณฑ์ทหารไปรบของเธอ เฟรดคนนี้ไปส่งเธอที่สนามบิน และอาสาจะหาแมวที่เธอปล่อยไว้ไปเลี้ยงให้ แต่เขาย้ายออกจากตึกไปและไม่กลับมาอีก” โจถอนใจเบาๆ

“อ้อ แล้วเราจะคุยกับเพื่อนที่เธอเรียกว่าเฟรดได้ที่ไหนล่ะ” ทินนี่ถามขึ้น

“คุณอย่าไปตามหาเขาเลย เขาไปไกลจากที่นี่มากแล้ว เป็นนักเขียนมีชื่อ แถมเป็นเด็กเลี้ยงต้อยของแม่ม่ายเจ้าของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ทรงอิทธิพล เขาคงลืมเธอไปแล้ว และคุณก็ไม่ควรไปยุ่งกับชีวิตของเขา”

หมอเอสซีก้มหน้าเขียนในสมุดบันทึก เมื่อโจพูดจบ เขาเงยหน้าแล้วยิ้มเชิงปลอบใจให้กับโจ

“คุณคงมีความรู้สึกที่ดีต่อเธอ” เขากล่าว “เอาละ เราจะเล่าเรื่องเธอให้คุณฟัง”

“ก่อนที่เธอจะมาใช้ชื่อว่าฮอลลี่ หรือลูลาเมอะไรนั่น เธออยู่กับลุงและป้าที่แคนซัส ที่นาไม่ค่อยได้ผลนัก ไม่มีน้ำแล้วก็เจอพายุทอร์นาโดบ่อยๆ ตอนเธออายุ 10 ขวบเธอเลยถูกขายให้กับพ่อค้าเร่ที่ผ่านไปแถวที่นาที่แห้งแล้ง ลีโอทำงานฝึกพวกสิงโตกับคณะละครสัตว์เจอเธอเป็นคนแรก เธอผอมบักโกรก มีรอยฟกช้ำตามร่างกาย เธอแอบหนีพ่อค้าเร่ติดไปกับคณะละครสัตว์ เธอไปสนิทกับเฟรดที่เป็นลูกชายเจ้าของละครสัตว์ เฟรดเป็นเจ้าทึ่มมาแต่เกิด พอเธอบอกว่าเป็นน้องสาวที่ถูกลักพาตัวไป เฟรดก็เชื่อ และอ้อนวอนให้พ่อพาเธอไปด้วย”

“อ้าว แล้วพวกคุณมาตามหาเธอทำไม จนถึงป่านนี้แล้ว เธอเตลิดไปอยู่ไหนก็ไม่รู้ในโลกกว้างใบนี้” โจถาม

“เธอทำให้ผมนึกถึงลูกสาวของผม” ลีโอถอนหายใจก่อนพูดขึ้น “ลูกสาวผมอายุแค่ห้าขวบตอนเธอถูกนายของผมขายไป ถึงเราจะไม่ใช่ทาส แต่ทุกอย่างที่ไร่ฝ้ายก็ยังคงเหมือนเดิม คนดำไม่มีกรรมสิทธิ์ในตัวเองหรือครอบครัวหรอก เราอยู่ได้ด้วยเจ้านาย เธอไม่ได้ร้องไห้เวลาที่คนพวกนั้นเอาตัวเธอขึ้นรถบรรทุก เพราะเธอคิดว่าจะได้ไปนั่งรถเที่ยว ผมมันไอ้ขี้ขลาด ไม่กล้าแม้แต่มองดูเธอตอนออกไป ไม่กล้าขัดขืนคัดค้าน เมียผมได้แต่ยืนน้ำตาไหลอยู่ในห้องพักที่ถูกขังไว้จะได้ไม่มาขวางทาง แล้วเธอก็ไม่เคยพูดกับผมอีกเลย ถ้าเพียงแต่ผมจะกล้าพอที่จะดึงตัวเธอลงจากรถคันนั้น…” เสียงลีโอขาดหายไป “วันหนึ่งผมเลยหนีออกจากไร่ฝ้าย เร่ร่อนไปอยู่กับคณะละครสัตว์ เป็นคนฝึกพวกสิงโต หวังว่าอาชีพนี้จะทำให้ผมเป็นคนกล้าขึ้นมาบ้าง แล้วผมก็ได้พบกับเธอ ตอนมาอยู่ละครสัตว์ใหม่ๆ เธอไม่ค่อยยอมพูดกับใคร นอกจากกับเฟรดดี้ หนุ่มน้อยที่เธอสมมุติว่าเขาเป็นพี่ชายนั่นแหละ แต่เธอก็มาสนิทกับผม ราวกับผมเป็นพ่อ และผมได้พบกับลูกสาวอีกครั้ง”

“แล้วคุณล่ะทินนี่ คุณมาตามหาเธอทำไม” โจหันไปถาม

ทินนี่ยักไหล่ก่อนตอบว่า “ผมพบเธอตอนที่ไปดูละครสัตว์ ตอนนั้นเธออายุ 13 แล้ว เธอเป็นตัวประกอบขี่ม้าโชว์ เธอดูเปล่งปลั่งเฉิดฉาย แม้จะอายุแค่นั้น คุณจะหลงรักเธอแน่ ในชุดกระโปรงสั้นสีขาว ปักดิ้นแวววาว ยืนอยู่บนหลังม้าที่ควบเป็นวงผ่านคนดูรอบแล้วรอบเล่า ผมซื้อของขวัญให้เธอหลายอย่าง ทุกอย่างที่เธอบอกอยากได้ ขนม ตุ๊กตา แป้ง ลิปสติก เสื้อผ้าสวยๆ เธอก็ดูพอใจและพะเน้าพะนอเอาใจผมอยู่พักใหญ่เวลาได้ของขวัญ แต่พอเธอเบื่อของขวัญ เธอก็จะมึนตึง ไม่พูดไม่จาด้วย เธอทำให้คุณหัวปั่นได้ตลอดเวลา แล้ววันหนึ่งเธอก็หายไปจากละครสัตว์พร้อมกับเฟรดดี้ มีคนบอกว่าเธอทำให้ละครสัตว์ปั่นป่วนทีเดียว พูดกันว่าเธอมีเรื่องมีราวกับพ่อของเฟรดดี้ เธอเลยไปเปิดกรงให้พวกสัตว์หลุดออกมาเกือบหมด ทำเอาอลเวงกันยกใหญ่ ทั้งคนในละครสัตว์และคนในเมืองใกล้เคียงพากันกลัวว่าพวกเสือสิงโตเผ่นพ่านออกมาจะทำร้ายคนเข้า”

“ใช่ ตอนนั้นผมต้องสาละวนไล่ต้อนสิงโตเข้ากรง กับพวกสัตว์อื่นๆ ด้วย” ลีโอเสริมขึ้น “เล่นเอาเหนื่อย พอทุกอย่างค่อยเข้าที่ ถึงได้รู้ว่าเธอกับเฟรดดี้หายไป แต่เราต้องไปกันต่อตามกำหนดการ เลยไม่ได้ตามหาเธออีก จนอีกหลายปี”

“แล้วคุณล่ะ หมอ คุณตามหาเธอทำไม” โจหันไปถามหมอเอสซี ที่เริ่มต้นไออีกครั้ง

“เอ้อ ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ เป็นเรื่องของครอบครัว เอ้อ ผมไม่ควรพูดออกไป แต่เอาเถอะ ดูเหมือนทุกคนก็แบไพ่ในมือจนหมดแล้ว ผมก็จะเล่าเท่าที่ทำได้ ไม่ให้ขัดกับวิชาชีพของผม” หมอเอสซีกระแอมอีกครั้ง

“อันที่จริงเธอไม่ใช่ลูกหลานของลุงป้าที่แคนซัสหรอก เธอเป็นลูกนอกสมรสของดาราใหญ่ระดับซูเปอร์ แม่ของเธอโด่งดังไปทั่วโลก แต่โชคร้ายที่ไปหลงรักคนที่แต่งงานแล้ว พอคลอดออกมาก็เลยแอบเอาไปฝากคนเลี้ยงที่แคนซัส แต่ชีวิตรุ่งโรจน์ของดาราก็เหมือนดาวตก เจิดจ้าแล้ววาบหายไป เธอเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ เด็กเลยโตขึ้นมาโดยไม่รู้จักพ่อแม่แท้จริง ที่ผมมาตามหาเธอก็เพราะผมถูกจ้างมาน่ะสิ พวกญาติทางฝ่ายพ่อเกิดอยากหาทายาทก็เลยจ้างให้ผมมาตาม แล้วทำไมไม่จ้างนักสืบน่ะเหรอ ก็เพราะกลัวความลับรั่วไหล ครอบครัวนี้มีชื่อเสียงใครก็รู้จัก และผมสนิทกับทางครอบครัวเธอ บังเอิญผมกำลังศึกษาวิจัยเพื่อเขียนเรื่องผลกระทบทางจิตวิทยาต่อบุคลิกภาพของเด็ก ชีวิตระหกระเหินที่เธอเผชิญอยู่น่ะมันเข้าข่ายน่าค้นคว้าเป็นกรณีตัวอย่างอย่างดีเลยแหละ” หมอหยุดพูดพร้อมกระแอมกระไอ ถอดแว่นตาออกแล้วเช็ดด้วยผ้าเช็ดหน้า

โจหรี่ตามองหมอเอสซี “ผมว่าเธอมีบางส่วนคล้ายคุณอยู่นะหมอ”

ข้างนอกร้าน ฝนเริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้ง แสงไฟจากท้องถนนส่องให้เห็นประกายของเมล็ดฝนสว่างวาบเป็นสีรุ้ง โจถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “บางครั้งนะ ผมคิดเอาเองว่า เราไม่ต้องไปหาเธอที่ไหนหรอก เพียงแต่เราจะลองเตร่ไปแถวร้านทิฟฟานี่ตอนเช้าๆ แบบที่เธอชอบทำหลังจากปาร์ตี้โต้รุ่งของเธอจบลง ก่อนที่จะกลับมานอนที่ห้องพัก เธอมักจะหาซื้อขนมปังกับกาแฟแล้วไปยืนกินที่หน้าร้านทิฟฟานี่ เธอเรียกมันว่าเป็นมื้อเช้าที่ทิฟฟานี่ เธอเคยพูดว่า มันทำให้เธอสงบอกสงบใจลงได้ เวลายืนอยู่หน้าร้านทิฟฟานี่ มองดูแสงระยิบระยับของเครื่องประดับ พร้อมกับจิบกาแฟร้อน มันทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย เธอว่าอย่างนั้น เธอเชื่อว่าจะไม่มีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นที่ทิฟฟานี่ นั่นแหละที่เราอาจจะเจอเธออยู่ที่นั่น ยืนซดกาแฟกับขนมปังอย่างที่เคยทำ บางทีที่นั่นอาจจะเป็นที่ของเธอที่สุดปลายสายรุ้งที่เธอฝันหาอยู่ เอ้อ หมอ แล้วเธอชื่ออะไรน่ะ ก่อนที่จะมาเป็นฮอลลี่หรือลูลาเม”

หมอเอสซีไอออกมาก่อนตอบ “เธอชื่อโดโรธี…โดโรธี เกล”

Inspire by

“Breakfast at Tiffany”s” โดย Truman Capote ปี ค.ศ.1958

“The Wonderful Wizard of Oz” โดย L. Frank Baum ปี ค.ศ.1900