ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 8 - 14 มีนาคม 2562 |
---|---|
คอลัมน์ | อาชญากรรม |
ผู้เขียน | อาชญา ข่าวสด |
เผยแพร่ |
เป็นคดีอุกฉกรรจ์ ที่จบลงด้วยความตาย
เมื่อ 2 หนุ่มโจรคู่หู ลงมือวางแผนปล้นรถขนเงินของบริษัทเอกชน กวาดเงินไปได้กว่า 7.2 ล้าน แล้วหลบหนีไป
แต่สุดท้ายก็ไม่พ้นเงื้อมมือตำรวจ เมื่อสามารถตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด และการเช็กประวัติอดีตพนักงานที่เกี่ยวข้อง
จนตามรวบได้ 1 ราย เมื่อเค้นสอบก็สารภาพซัดทอดว่าจริงๆ แล้วหัวโจกที่วางแผนปล้นครั้งนี้ยังหลบหนี
แถมครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เมื่อปี 2560 ก่อเหตุมาแล้วครั้งหนึ่ง กวาดเงินไปร่วม 6 ล้านบาท
ก่อนเอาเงินไปซื้อรถและบ้านให้พ่อ-แม่อยู่ มาคราวนี้เห็นว่าได้เงินง่าย ก็เลยชวนเพื่อนคู่หูมาก่อเหตุอีก
แต่ไม่ง่ายดังที่หวัง!??
หลังจากได้เบาะแส ปฏิบัติการไล่ล่าก็เริ่มต้นขึ้น และทวีความเข้มข้น
จนกระทั่งรู้ว่าหัวโจกคนนี้ไปซุ่มกบดานอยู่ที่โต๊ะสนุ้กเกอร์ จนระดมกำลังเข้าควบคุมตัว
แต่เจ้าตัวก็ไม่ยอมมอบตัว หลบหนีและยังชักปืนยิงสู้ตำรวจ สุดท้ายก็ต้องจับตาย
แม้ว่าแม่ผู้ตายจะไม่เชื่อว่าลูกต่อสู้ สงสัยจะมีกระบวนการจัดฉาก
ก็เป็นเรื่องที่ต้องตรวจสอบตามขั้นตอนให้กระจ่างชัดต่อไป
ระทึกปล้นรถเงินหน้าห้างดัง
เหตุคนร้ายปล้นรถขนเงินครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงค่ำวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในขณะที่พนักงานรถขนเงินของบริษัทบริงคส์ (BRINKS) 2 คนกำลังปฏิบัติหน้าที่เบิกเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า ถนนเพชรเกษม กทม. จำนวน 7,270,000 ล้านบาท
ขณะที่พนักงานยกถุงเงินเตรียมจะใส่รถที่จอดรออยู่หน้าห้าง ก็มีชายฉกรรจ์ 2 คนสวมหมวกกันน็อกแบบเต็มใบ ขี่จักรยานยนต์มาประกบข้าง ก่อนที่คนซ้อนท้ายจะลงมาชักปืนยิงขู่ขึ้นฟ้า จนกระทั่งพนักงานรถขนเงินตกใจทิ้งถุงลง
จากนั้นคนร้ายจึงเข้าไปลากถุงเงินดังกล่าวขึ้นรถจักรยานยนต์ขับขร่หนีไป ซึ่งเหตุการณ์ทั้งหมดมีภาพจากกล้องหน้ารถพลเมืองดีที่ถ่ายไว้ได้พอดีเป็นหลักฐานทั้งหมด
เมื่อเป็นคดีอุกฉกรรจ์ ลงมือในพื้นที่สาธารณะอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ก็เป็นหน้าที่ระดับรอง ผบ.ตร. อย่าง พล.ต.อ.เฉลิมเกียรติ ศรีวรขาน ลงมาคุมคดีนี้ด้วยตัวเอง โดยสั่งให้สืบสวนนครบาล 9 ไล่เช็กวงจรปิดและพยานในพื้นที่
ในที่สุดก็พบว่า คนร้ายมาขี่จักรยานยนต์วนดูลาดเลาก่อนลงมือ 2-3 วัน โดยเลือกเวลาช่วง 18.00-19.30 น. ที่รถขนเงินมารับเงิน
นอกจากนี้ยังพบว่าในวันก่อเหตุ คนร้ายขี่จักรยานยนต์หลบหนีออกจากห้างไปยังถนนเส้นเลียบคลองทวีวัฒนา ต่อไปยังพุทธมณฑลสาย 3 และจุดสุดท้ายที่กล้องวงจรปิดจับภาพได้แค่ย่านบางแวก เขตบางแค
จึงขีดรัศมีการหลบหนีและปูพรมค้นหา
ในที่สุดก็ได้ตัว โดยเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมนายจิรายุส สวนมิ หรือแบงก์ อายุ 20 ปี พร้อมหมายจับ 4 ข้อหาหนัก ล็อกตัวได้ที่ถนนบางบอน 4 แยกซอยประสิทธิ์ 4/3 แขวงและเขตบางบอน กทม.
จากนั้นคุมตัวไปค้นบ้านพักไม่มีเลขที่ย่านบางบอน พบกระเป๋าหิ้วต้องสงสัยสีดำซุกซ่อนอยู่ ตรวจสอบพบเงินสดจำนวนหนึ่ง ซึ่งรับสารภาพว่าเป็น 1 ในผู้ต้องหาที่ร่วมลงมือก่อเหตุจริง
พร้อมคุมตัวไปสอบสวนขยายผลที่ บก.น.9
หาผู้สมรู้ร่วมคิดให้ได้
เคยฉกแล้ว 6.2 ล้าน-ลอยนวล
หลังเค้นสอบอยู่ไม่นาน ไอ้แบงก์ก็เปิดปากสารภาพ ระบุว่าผู้ร่วมลงมืออีกคนคือนายทักษ์ดนัย เหนี่ยวใจรั้ง หรือกอล์ฟ อายุ 27 ปี อดีตพนักงานบริษัทรถขนเงิน และเป็นผู้วางแผนปล้น รวมทั้งเสาะหาอาวุธปืนมาก่อเหตุ
โดยไอ้แบงก์ให้การว่า ตนเป็นลูกจ้างร้านคาร์แคร์แห่งหนึ่ง ต่อมานายทักษ์ดนัยชักชวนให้ร่วมก่อเหตุชิงทรัพย์ โดยจัดหาปืนและจักรยานยนต์ฮอนด้า พีซีเอ็กซ์ สีน้ำเงิน แล้วนำไปติดแร็พห่ออาหารแล้วพ่นสเปรย์สีดำด้าน โดยวันก่อเหตุนายทักษ์ดนัยเป็นคนขี่จักรยานยนต์เข้าไปปล้น แล้วตนที่ซ้อนท้ายก็กระโดดลงรถ ยิงปืนขึ้นฟ้าเพื่อข่มขู่พนักงานให้โยนถุงเงินลงพื้น
เมื่อเอาถุงขึ้นจักรยานยนต์แล้ว ตนจึงสลับมาขี่จักรยานยนต์หลบหนี เอาถุงเงินไปเก็บไว้ที่ห้องเช่าย่านถนนเลียบคลองภาษีเจริญฝั่งใต้ แล้วนายทักษ์ดนัยให้เงินตนมา 5 พันบาทเพื่อใช้หลบหนี บอกว่าถ้าเรื่องเงียบจะโทรศัพท์ติดต่อ จึงกลับมาที่บ้านย่า จนกระทั่งถูกตำรวจตามมาจับกุม
นอกจากนี้ยังระบุว่า ก่อนหน้านี้เคยร่วมปล้นกับนายทักษ์ดนัยมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อสิงหาคม 2560 โดยปล้นรถขนเงินของบริษัทเดียวกันนี้ ได้เงินสด 6.2 ล้านบาท เหตุเกิดภายในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เวสต์เกต จ.นนทบุรี
โดยนายทักษ์ดนัยเคยเป็นพนักงานขับรถของบริษัทบริงคส์ แล้วถูกไล่ออกเพราะขาดงานเกิน 3 วัน โดยขณะที่เป็นพนักงานได้แอบปั๊มกุญแจสำรองของรถขนเงินไว้ เมื่อถูกไล่ออกก็โกรธแค้น และรู้ลู่ทางการเดินรถและตารางเวลา จึงตัดสินใจมาลงมือ
หลังก่อเหตุได้เงินส่วนแบ่ง 1 ล้านบาท ก็ย่ามใจว่าไม่ถูกจับ เลยมาร่วมก่อเหตุอีก
ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. เผยผลการตรวจสอบบ้านเช่าที่เก็บของกลาง พบว่ามีเงินสดในกระเป๋า 2 ใบ รวม 3.6 ล้านบาท แต่ไม่พบอาวุธปืน จึงสั่งให้เร่งหาอาวุธปืนโดยด่วน เพราะเกรงว่าคนร้ายจะใช้ต่อสู้ขัดขืน
ทั้งนี้ ตั้งค่าหัวให้ผู้ที่แจ้งเบาะแสจนจับกุมได้ 5 หมื่นบาท
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า เงินที่ได้จากการปล้นครั้งก่อน นายทักษ์ดนัยนำไปซื้อบ้านที่ จ.ชลบุรี ด้วยเงินสด โดยอ้างว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 ซึ่งหากตรวจสอบว่าเป็นเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด ก็ต้องยึดทรัพย์ทั้งหมดเป็นของแผ่นดิน
ตามล่ากันต่อไป
“บิ๊กแป๊ะ” นำจับตายไอ้กอล์ฟ
ต่อมาเมื่อวันที่ 4 มีนาคม เวลา 04.30 น. พล.ต.อ.จักรทิพย์ พร้อมด้วย พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผบช.น. พล.ต.ต.กัมปนาท โสภโณดร ผบก.น.9 พล.ต.ต.อิทธิพล อัจฉริยะประดิษฐ์ ผบก.สส.บช.น. และ พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบก.สส.บช.น. นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน บช.น. วิสามัญฆาตกรรมนายทักษ์ดนัย ผู้ต้องหาตามหมายจับคดีปล้นรถขนเงิน เนื่องจากผู้ต้องหาขัดขืนการเข้าจับกุมและชักปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ
เหตุเกิดบริเวณริมพงหญ้ากลางซอยทวีวัฒนา 1 แขวงหนองค้างพลู เขตหนองแขม กทม.
ทั้งนี้ ก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม สืบสวนทราบว่านายทักษ์ดนัยหลังจากชิงทรัพย์รถขนเงินแล้วยังวนเวียนกบดานอยู่ในย่านพุทธมณฑลสาย 3 และพุทธมณฑลสาย 4
โดยเมื่อคืนที่ผ่านมา นายทักษ์ดนัยยังคงนัดเจอกับเพื่อนฝูงที่โต๊ะสนุ้กเกอร์ ปากซอยทวีวัฒนา 1 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมาพบตัวเพื่อเข้าจับกุม ปรากฏว่านายทักษ์ดนัยขี่รถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นพีซีเอ็กซ์ สีน้ำเงิน ทะเบียน 7 กต 5952 กรุงเทพมหานคร หลบหนีเข้าไปในซอยทวีวัฒนา 1 มุ่งหน้าไปทางพุทธมณฑลสาย 4
ระหว่างทาง นายทักษ์ดนัยเห็นรถเจ้าหน้าที่ตำรวจปิดเส้นทางเอาไว้ จึงทิ้งรถจักรยานยนต์หลบหนีเข้าพงหญ้า ตำรวจจึงวิ่งตาม
แต่แทนที่นายทักษ์ดนัยจะหยุด กลับชักอาวุธปืนลูกโม่ยิงใส่เจ้าหน้าที่ก่อน 4 นัด จนเจ้าหน้าที่ต้องกระโดดหลบกระสุน จากนั้นตำรวจใช้อาวุธปืนยิงสวนกลับเพื่อป้องกันตัวจนนายทักษ์ดนัยถูกยิงกระสุนเข้ากลางอก 2 นัด ล้มฟุบจมกองเลือดดับคาที่
ตรวจสอบศพนายทักษ์ดนัยอยู่ในสภาพศพนอนหงาย สวมหมวกกันน็อกสีขาวแบบครึ่งใบ สวมเสื้อยืดแขนสั้นและกางเกงขาสั้นสีกรมท่า รองเท้าแตะ บริเวณมือขวาพบอาวุธปืนลูกโม่ ขนาด .32 ตรวจสอบในโม่พบปลอกกระสุน 4 นัด และอีก 2 นัดที่ยังไม่ได้ยิง
ใต้เบาะรถจักรยานยนต์ของผู้ต้องหา พบกระเป๋าสะพายข้างใบเล็ก โดยภายในพบเงินสดประมาณ 3.1 แสนบาท เอกสารประจำตัวและสมุดจดบันทึก 1 เล่ม
ปิดฉากด้วยการจับตาย
อย่างไรก็ตาม นางสุพัตรา เหนี่ยวรั้งใจ อายุ 49 ปี แม่ของนายทักษ์ดนัย ยังไม่เชื่อว่าลูกเป็นคนก่อเหตุปล้น ยืนยันว่าทรัพย์สินบ้านที่ซื้อมามาจากน้ำพักน้ำแรงของลูกและของตนเอง และขอให้ตรวจสอบว่าเจ้าหน้าที่ทำเกินกว่าเหตุหรือไม่
เป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์ตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป