“พริษฐ์” ชี้ประชามติครั้งแรกเรื่อง รธน. จะไม่เกิดขึ้นช่วง ก.ค.-ส.ค. ตามที่รัฐบาลเคยสื่อสาร เหตุมติ ครม. กำหนดนับหนึ่งจัดทำประชามติต่อเมื่อแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ เสร็จแล้ว

“พริษฐ์” ชี้ประชามติครั้งแรกเรื่อง รธน. จะไม่เกิดขึ้นช่วง ก.ค.-ส.ค. ตามที่รัฐบาลเคยสื่อสาร เหตุมติ ครม. กำหนดนับหนึ่งจัดทำประชามติต่อเมื่อแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ เสร็จแล้ว ย้ำข้อเสนอเปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญเพื่อแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติภายใน พ.ค. ควบคู่ทบทวนคำถามประชามติ

วันที่ 2 พฤษภาคม 2567 พริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคก้าวไกล กล่าวถึงการแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ ภายหลังวันนี้ได้รับเชิญร่วมประชุมกับตัวแทนรัฐบาลที่สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ ในฐานะตัวแทนพรรคก้าวไกลที่ได้เสนอร่างแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ เข้าสภาฯ เมื่อเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา โดยพริษฐ์กล่าวว่า มี 3 ประเด็นสำคัญจากการประชุม

ประเด็นที่ (1) ตนพบว่ารัฐบาลได้สื่อสารคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับกรอบเวลาในการทำประชามติครั้งแรก หลังการประชุม ครม. เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (23 เม.ย.) ทำให้ประชาชนจะไม่ได้เข้าคูหาประชามติในห้วงเวลา 21 ก.ค. – 22 ส.ค. ตามที่รัฐบาลได้สื่อสารกับสาธารณะ

ตามกฎหมายปัจจุบัน พ.ร.บ. ประชามติ มาตรา 11 กำหนดว่าเมื่อ ครม. มีมติ “นับหนึ่ง” เดินหน้าจัดประชามติเรื่องใด ประชามติดังกล่าวจะต้องเกิดขึ้นในกรอบเวลา 90-120 วัน หลังจากที่ ครม. มีมติ “นับหนึ่ง” ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จากการแถลงโดยโฆษกรัฐบาลและอินโฟกราฟิกในเพจพรรคเพื่อไทยได้สื่อสารกับสาธารณะว่า ประชามติครั้งแรกจะเกิดขึ้นในกรอบเวลา 21 ก.ค. – 22 ส.ค. ปีนี้ ซึ่งตนเข้าใจว่าเป็นการคำนวณโดยการตีความว่า ครม. ได้มีมติ “นับหนึ่ง” แล้ว ในการประชุม ครม. 23 เม.ย. ที่ผ่านมา

แต่ตนได้ค้นพบจากเอกสารในที่ประชุมวันนี้ที่อ้างอิงมติ ครม. และได้รับคำยืนยันจากตัวแทนรัฐบาลหลังสอบถามในที่ประชุมอีกครั้งวันนี้ว่า ในการประชุม ครม. 23 เม.ย. นั้น ครม. ไม่ได้มีมติ “นับหนึ่ง” เดินหน้าจัดทำประชามติเลย แต่มีมติให้ดำเนินการแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ ให้เสร็จและบังคับใช้ทางกฎหมายก่อน ถึงจะเริ่ม “นับหนึ่ง” สู่การจัดทำประชามติ

ทั้งหมดนี้เท่ากับว่า มติ ครม. ไม่ได้กำหนดว่าเราจะมีประชามติครั้งแรกในห้วงเวลา 21 ก.ค. – 22 ส.ค. ตามที่โฆษกรัฐบาลและพรรคเพื่อไทยได้สื่อสารกับสาธารณะ แต่ต้องรอให้ พ.ร.บ. ประชามติ ได้มีการแก้ไขเรียบร้อยแล้ว ครม. ถึงจะมีมติ “นับหนึ่ง” และกำหนดวันออกเสียงประชามติอย่างน้อย 90-120 วัน หลังจากวันนั้น

พริษฐ์กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ (2) ในเมื่อ ครม. กำหนดว่าต้องแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ ก่อนจะจัดประชามติครั้งแรกได้ ตนเสนอว่า ครม. ควรออกพระราชกฤษฎีกา เปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญในเดือน พ.ค. เพื่อเดินหน้าแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ ให้เร็วที่สุด เนื่องจากมีร่างของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลที่พร้อมแล้ว

ทางพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลได้ยื่นร่างแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ เข้าสภาฯ ตั้งแต่ ก.พ. 2567 ซึ่งตอนนี้ค้างอยู่ในระเบียบวาระการประชุมสภาฯ หากรัฐบาลเปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญ เราสามารถเลื่อนวาระกฎหมายดังกล่าวมาพิจารณาในวาระ 1 และเริ่มกระบวนการดังกล่าวได้โดยทันที

ตนเข้าใจว่าทางรัฐบาลเล็งจะนำวาระการพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ มาต่อท้ายวาระการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ 2568 แต่ตอนนี้มีแนวโน้มว่าร่าง พ.ร.บ. งบประมาณ 2568 อาจจะไม่ได้เข้าสภาฯ จนกระทั่งกลางเดือน มิ.ย. เป็นอย่างเร็ว

จึงเห็นว่ารัฐบาลควรเปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญ ตั้งแต่เดือนนี้ เนื่องจากร่างกฎหมายมีพร้อมอยู่แล้ว 2 ฉบับ ในส่วนของพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล โดยหาก ครม. ต้องการเสนอประกบ ก็เสนอเข้ามาได้ ตราบใดที่ไม่ทำให้กระบวนการล่าช้าเพียงเพราะเหตุผลดังกล่าว

และประเด็นที่ (3) ในเมื่อ ครม. กำหนดว่าต้องแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ ก่อนจะจัดประชามติครั้งแรกได้ ตนเห็นว่า ครม. ยังมีเวลาทบทวนคำถามประชามติ โดยตนและพรรคก้าวไกลขอยืนยันให้รัฐบาลทบทวนคำถามประชามติครั้งแรก (หากจะจัด) ให้เปลี่ยนเป็นคำถามที่เปิดกว้าง เพื่อเพิ่มโอกาสที่ประชามติจะผ่าน

คำถามปัจจบุันของรัฐบาลคือ: “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 (บททั่วไป) และ หมวด 2 (พระมหากษัตริย์)?” ส่วนคำถามที่พรรคก้าวไกลเสนอให้รัฐบาลทบทวนใช้คือ: “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (โดยไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ)?”

ข้อเสนอนี้มาจากความกังวลว่าในเมื่อคำถามประชามติของ ครม. ณ ปัจจุบัน เป็นการถาม 2 ประเด็นใน 1 คำถาม หรือการ “ยัดไส้” เงื่อนไขหรือรายละเอียดปลีกย่อยในตัวคำถาม ประชาชนบางคนที่เห็นด้วยกับบางส่วนของคำถาม แต่ไม่เห็นด้วยกับอีกบางส่วนของคำถามอาจมีความลังเลใจว่าจะลงมติเช่นไร และทำให้ในบรรดาคนที่อยากเห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่จะลงคะแนน “เห็นชอบ” เหมือนกันอย่างเป็นเอกภาพ ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงที่ประชามติจะไม่ผ่านและการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สะดุดลง

พริษฐ์กล่าวว่า เราเข้าใจว่า ครม. มีจุดยืนว่าไม่ต้องการให้ สสร. ที่มาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีอำนาจในการแก้ไขเนื้อหาในหมวด 1-2 ซึ่งเป็นจุดยืนที่ต่างจากของพรรคก้าวไกล แต่แม้รัฐบาลจะมีจุดยืนดังกล่าว รัฐบาลยังคงจุดยืนตนเองได้ ด้วยการถามคำถามประชามติที่เปิดกว้าง เพื่อเพิ่มโอกาสที่ประชามติจะผ่าน และเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ระบุไว้ได้ว่า สสร. มีอำนาจในการแก้ไขทุกหมวดยกเว้น หมวด 1-2 ซึ่งก็สอดคล้องกับรายละเอียดของร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พรรคเพื่อไทยเคยเสนอเข้าสู่รัฐสภา ในขั้นตอนถัดไป ในเมื่อรัฐบาลมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร รัฐบาลก็สามารถชนะโหวตในสภาฯ ได้อยู่แล้ว หาก สส. รัฐบาลยังคงยืนยันจุดยืนนี้