บทวิเคราะห์ : พลิกแฟ้ม “ผู้ชำระล้าง” ฆาตกรต่อเนื่องแห่งไซบีเรีย

ในการพิจารณาคดีที่ศาลเมืองอีร์คูตส์ ในภูมิภาคไซบีเรียของรัสเซียที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม ท่ามกลางการจัดวางกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนา

ผู้พิพากษาศาลได้มีคำพิพากษาโทษจำคุกตลอดชีวิต มิคาอิล โปปคอฟ อดีตนายตำรวจรัสเซีย วัย 54 ปี ที่เป็นฆาตกรต่อเนื่องจากการก่อเหตุฆาตกรรมเหยื่อสุดโหดรวม 56 ศพ ในช่วงระหว่างปี 1992-2007

ซึ่งถือเป็นคำตัดสินที่แทบจะไม่เกิดขึ้นให้เห็นในรัสเซีย ที่ผู้ต้องโทษจะถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตอีกเป็นครั้งที่ 2

โดยก่อนหน้านี้ในปี 2015 โปปคอฟ อสุรกายร้ายที่แฝงตัวอยู่ในคราบของผู้พิทักษ์กฎหมายในการก่อเหตุฆาตกรรรมผู้บริสุทธิ์อย่างเหี้ยมโหด ได้ถูกศาลตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิตมาแล้วจากคดีฆาตกรรมเหยื่อผู้หญิงรวม 22 ศพ

เท่ากับว่าเมื่อรวมศพเหยื่อทั้งหมดที่เจ้าหน้าที่พิสูจน์ยืนยันได้ว่าโปปคอฟลงมือฆ่าจริง ทำให้เขากลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ฆาตกรรมเหยื่อผู้บริสุทธิ์ไปมากที่สุดในรัสเซียในช่วงเวลานี้

 

ในคดีฆาตกรรมเหยื่อ 56 ศพของโปปคอฟ ในจำนวนนี้เป็นผู้หญิงทั้งหมด 55 ราย ที่เหลืออีก 1 รายเป็นนายตำรวจนายหนึ่ง

โดยเหยื่อที่ตกเป็นเป้าหมายของโปปคอฟ เป็นกลุ่มผู้หญิงอายุระหว่าง 16-40 ปี

และในจำนวนนี้ 11 รายถูกโปปคอฟข่มขืนก่อนถูกฆ่า

ขณะที่พื้นที่ที่โปปคอฟลงมือก่อเหตุส่วนใหญ่อยู่ในเมืองอังการ์ส ใกล้กับเมืองอีร์คูตส์ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่ฆาตกรต่อเนื่องรายนี้รับผิดชอบในขณะยังเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและหลังจากที่เขาเกษียณอายุทำงานไปแล้วในปี 1998

วิธีการล่อลวงเหยื่อไปฆ่าของฆาตกรรายนี้เริ่มจากการตระเวนขับรถหาเหยื่อเป้าหมายในช่วงยามราตรี โดยใช้รถตำรวจ เมื่อสบโอกาสก็จะเข้าไปใกล้เหยื่อ แล้วขันอาสาจะขับรถไปส่งเหยื่อ โดยการใช้ตราเครื่องหมายตำรวจเป็นเครื่องมือให้เหยื่อเชื่อใจ ก่อนจะลงมือฆ่าด้วยอาวุธที่มีทั้งค้อน ขวาน ไขควงและมีด จากนั้นจะนำศพไปทิ้งไว้กลางป่า ข้างทาง หรือไม่ก็สุสาน

การตระเวนเที่ยวลวงเหยื่อไปฆ่าของฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ในตอนแรกไม่ได้เป็นที่จับตาสังเกตของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย เนื่องจากในช่วงเวลานั้นพื้นที่ดังกล่าวถูกปกคลุมด้วยการเข่นฆ่ากันของแก๊งมาเฟียที่มีอิทธิพล จึงอาจเบี่ยงความสนใจของเจ้าหน้าที่ไป

และฆาตกรต่อเนื่องยังอาศัยความเป็นตำรวจ สามารถเก็บกวาดร่องรอยหลักฐานที่จะตามมาถึงตัวเองได้ค่อนข้างดี

ทว่าในที่สุดอาชญากรรายนี้ก็ไม่อาจหนีพ้นเงื้อมมือกฎหมายไปได้ หลังจากเจ้าหน้าที่ชุดสอบสวนทำการสอบสวนคดีกันใหม่ โดยมุ่งเน้นการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอหาผู้ที่ขับรถยนต์คันก่อเหตุให้ตรงกับรอยล้อรถยนต์ที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบในที่เกิดเหตุฆาตกรรม

กระทั่งนำไปสู่การจับกุมนายโปปคอฟจนได้ในปี 2012 หรือในอีก 14 ปีต่อมาหลังจากที่ฆาตกรต่อเนื่องรายนี้เกษียณอายุเป็นตำรวจ

 

โปปคอฟ ผู้เรียกขานตัวเองว่า “คลีนเนอร์” ผู้ชำระล้าง ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์เมดูซาของรัสเซีย เผยว่า เขาจะเลือกเป้าหมายเป็นเหยื่อผู้หญิงที่อยู่ในสภาพมึนเมาหรือไม่ก็มีพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรมในสายตาของตนเอง ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า “สังคมประณามผู้หญิงที่มีพฤติกรรมเสเพลแบบนี้”

เยฟเกนี คาร์เชฟสกี หัวหน้าชุดสอบสวนในคดีนี้ชี้ถึงแรงจูงใจในการสังหารเหยื่อของฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ว่ามาจากความรู้สึก “เกลียดผู้หญิง” ที่ฝังลึกอยู่ในใจ ซึ่งจากข้อมูลของสำนักข่าวอาร์ไอเอโนวอสตีระบุอ้างว่า โปปคอฟเริ่มลงมือฆ่าเหยื่อรายแรก หลังจากเขาพบว่าตนเองถูกภรรยานอกใจ

ขณะที่ในการพิจารณาคดีเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ฝ่ายอัยการชี้ว่าโปปคอฟเป็นบุคคลที่มีลักษณะหลงใหลการฆ่าคน ที่มักจะมีความสุขจากการทรมานผู้อื่น ประเด็นนี้ยังได้รับข้อมูลสนับสนุนจากยูริ อันโตยาน นักอาชญาวิทยา ที่นำเสนอหลักฐานในประเด็นนี้ในชั้นศาลกล่าวว่า โปปคอฟมีความพึงพอใจจากการฆ่าคน ที่เขามองว่าเป็นเป้าหมายในชีวิตของเขา

อย่างไรก็ตาม ผลจากการตรวจทดสอบด้านสุขภาพจิตพบว่าโปปคอฟมีภาวะจิตปกติ

ตอนนี้เจ้าตัวคงต้องก้มหน้าชดใช้กรรมอยู่ในคุกไป เพราะในรัสเซียไม่มีโทษประหาร แต่จากข่าวบอกว่า สิ่งที่ฆาตกรต่อเนื่องรายนี้จะยื่นอุทธรณ์ต่อสู้ต่อไป ไม่ได้เป็นเรื่องของการสู้เพื่อผ่อนผันโทษ

แต่จะเป็นการต่อสู้เพื่อรักษาเบี้ยบำนาญของตนเองเอาไว้ หลังจากถูกศาลสั่งยึดเงินบำนาญหลังเกษียณอายุ ที่ได้อยู่รายเดือนจำนวน 24,000 รูเบิล หรือราวๆ 12,000 บาทเอาไว้