สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อวันที่ 15 กันยายนแหล่งข่าวในรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมประกาศมาตรการลงโทษจีนทางการค้าครั้งใหม่ ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนอีกครั้ง เป็นมูลค่า 200,000 ล้านดอลลาร์ โดยอาจแถลงอย่างเป็นทางการในทันทีซึ่งอาจเป็นในวันที่ 17 กันยายนนี้

หนังสือพิมพ์วอลสตรีท เจอร์นัล รายงานเรื่องเดียวกันโดยระบุด้วยว่า สหรัฐอเมริกาอาจเรียกเก็บภาษีสำหรับการนำเข้าสินค้าจากจีนอีกหลายรายการเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งต่ำกว่าที่รัฐบาลอเมริกันแถลงไว้ก่อนหน้านี้ที่ 25 เปอร์เซ็นต์ โดยรอยเตอร์ระบุว่า รายการสินค้าที่อยู่ในข่ายถูกตั้งกำแพงภาษีในครั้งนี้มีตั้งแต่ ผลิตภัณฑ์ทางด้านเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ตและผลิตภัณฑ์อีเลคทรอนิกส์อื่นๆ, แผ่นปรินต์เซอร์กิตและสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งรวมทั้งอาหารทะเล, เฟอร์นิเจอร์ และผลิตภัณฑ์ให้แสงสว่าง, ยางรถยนต์, เคมีภัณฑ์, พลาสติก, จักรยาน และเบาะนั่งสำหรับเด็กในรถยนต์ ซึ่งเป็นไปตามรายการตามที่รัฐบาลสหรัฐเคยแจกแจงไว้เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และยังไม่มีการเปิดเผยว่าจะมีการยกเว้นรายการใดหรือไม่

ด้านนักสังเกตการณ์ในแวดวงธุรกิจรายหนึ่งเชื่อว่า รัฐบาลอเมริกันตัดสินใจลดระดับการขึ้นภาษีนำเข้าที่เตรียมประกาศใช้ระลอกใหม่นี้ลงจากที่วางแผนไว้เดิม 25 เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียง 10 เปอร์เซ็นต์หลังจากได้รับทราบข้อมูลจากการไต่สวนสาธารณะในกรณีนี้ เพราะไม่ต้องการให้บริษัทผู้นำเข้าผลักภาระภาษีที่สูงขึ้นทั้งหมดต่อไปยังผู้บริโภค ซึ่งจะส่งผลให้ราคาสินค้านำเข้าแพงขึ้นโดยทันที แต่แม้จะปรับเพิ่มภาษีขึ้นอีกเพียง 10 เปอร์เซ็นต์ ก็ทำให้การเจรจาการค้ารอบใหม่ที่คาดกันว่าจะมีขึ้นในราวปลายเดือนนี้ยุ่งยากเพิ่มมากขึ้น

ทั้งนี้ ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ได้ผ่อนคลายลงบ้างเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เมื่อกระทรวงการคลังสหรัฐ ส่งจดหมายเชิญเจ้าหน้าที่การค้าระดับสูงของจีน รวมทั้งนาย หลิว เห้อ รองนายกรัฐมนตรีให้เดินทางมายังวอชิงตันเพื่อเจรจารอบใหม่ แต่เมื่อวันที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา ประธานาธิบดี ทรัมป์กลับเตือนเชิงขู่ต่อจีนอีกว่า สหรัฐยังคงสามารถขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนได้อีก 267,000 ล้านดอลลาร์ นอกเหนือจากที่ตกเป็นเป้าขึ้นภาษีในระลอกใหม่นี้ หากเป็นเช่นนั้นจริง มูลค่าสินค้านำเข้าของจีนที่ถูกสหรัฐขึ้นภาษีเป็นการลงโทษรวมแล้วจะสูงถึง 505,000 ล้านดอลลาร์ สูงกว่ามูลค่านำเข้าสินค้าทั้งหมดจากจีนเมื่อปีที่ผ่านมา