แมลงวันในไร่ส้ม /บิ๊กตู่ทัวร์บุรีรัมย์ ‘คึก’ เสียงเตือนเรื่อง ‘ดูด’ จาก ‘แม้ว-จ้อน’

แมลงวันในไร่ส้ม

บิ๊กตู่ทัวร์บุรีรัมย์ ‘คึก’

เสียงเตือนเรื่อง ‘ดูด’

จาก ‘แม้ว-จ้อน’

 

ท่ามกลางกระแสข่าวดูดที่ยึดพื้นที่หนังสือพิมพ์และสื่อออนไลน์มาพักใหญ่

เกิดการตอบโต้ระหว่างพรรคที่ตกเป็นฝ่ายถูกกระทำในการ “ดูด” กับฝ่ายที่เปิดเกมรุกในเรื่องนี้

เป็นจังหวะเดียวกับที่นายทักษิณ ชินวัตร และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สัญจรมายังประเทศสิงคโปร์

ส.ส.พรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งพากันบินไปที่สิงคโปร์เพื่อพบปะ

ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกมาเบรกว่า กำลังให้ผู้เกี่ยวข้องจับตาดูว่า การบินพบอดีตนายกฯ เข้าข่ายผิดกฎหมายพรรคการเมืองหรือไม่

ขณะที่ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เตือนว่า ต้องดูว่าเข้าลักษณะการครอบงำ ชี้นำโดยบุคคลซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรค หรือกรรมการบริหารพรรคหรือไม่

เพราะตามกฎหมายพรรคการเมือง ไม่ให้มีการดำเนินการในลักษณะดังกล่าว รวมถึงการนำเงินจากต่างประเทศเข้ามาสู่พรรคก็ไม่ได้ ตรงนี้ก็ต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อน หากพบว่าผิดจริง ตามกฎหมายกำหนดโทษให้ต้องยุบพรรคและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง

ส่วนนายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล อดีต รมว.วิทยาศาสตร์ฯ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยตอบโต้ว่า จริงๆ แล้วทาง คสช. เองก็กำลังจะมีพรรคการเมืองเป็นของตัวเอง ดังนั้น คสช. จึงไม่ควรพูดอะไรทำนองนี้ เพราะคนไทยไม่ชอบการใช้อำนาจข่มขู่อย่างไม่เป็นธรรม

ที่ผ่านมาท่านสองมาตรฐานมามากแล้ว วันนี้ทุกคนอยากเห็นความปกติ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลในอนาคต เราก็อยากให้ คสช. มีเสียงเข้าไปนั่งในสภาบ้าง แต่หากท่านทำแบบนี้เกิดพลิกล็อกคนไม่เอาเสียเลย ก็ระวังท่านจะเสียใจ

ทีคุณยังเดินเข้าหานักการเมืองได้เลย ไม่ใช่ตัวเองทำได้แต่ไปตำหนิคนอื่น ทั้งนี้ การไปเจอ ไปกินข้าวกันเป็นเรื่องปกติที่คนที่รักและคิดถึงกันเขาก็ทำกัน และคงไม่มีใครเอาเรื่องการเมืองมาคุยกันในวงกินข้าวหรอก

นั่นคือความดุเดือดจากนายวรวัจน์

 

สําหรับการพบปะระหว่างนายทักษิณกับอดีต ส.ส.เพื่อไทย เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม มีข่าวจากห้องอาหารจีนในสิงคโปร์ ระบุว่า นายทักษิณได้พูดถึงพลังดูดตอนหนึ่งว่า ไม่รู้สึกกังวลใจในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องธรรมดา

ที่ผ่านมาอดีต ส.ส. และคนในพรรคเพื่อไทยก็เคยเผชิญกับอะไรมามาก และรู้แล้วว่าอะไรเป็นยังไง ดังนั้น จึงไม่รู้สึกว่าจะต้องกังวลเรื่องพลังดูด แต่เป็นฝ่ายทหารเองมากกว่าที่ต้องระวัง เพราะดูดไปมากๆ ก็ระวังจะได้คนสีเทาๆ เพราะนิสัยของนักการเมือง ได้ประโยชน์ก็ไป ดังนั้น คนที่ต้องระวังจึงไม่ใช่พรรคการเมืองที่มีอุดมการณ์

ข่าวระบุอีกว่า นายทักษิณยังเชื่อว่า พรรค พท. จะกลับมาได้คะแนนอย่างท่วมท้นแน่นอน และแลนด์สไลด์ที่เคยเป็นของพรรคก็จะยังคงเป็นของพรรค นอกจากนี้ นายทักษิณยังได้มีการพูดถึงทิศทางการเมืองไทย ทิศทางการเมืองของพรรค พท. และเรื่องบ้านเมือง โดยย้ำว่า เป็นการวิเคราะห์ในฐานะคนที่มีประสบการณ์ทางการเมืองมาเท่านั้น

ทั้งนี้ ช่วงค่ำวันเดียวกัน นายทักษิณได้จัดเลี้ยงอาการโต๊ะจีนแก่บรรดาอดีตรัฐมนตรีและอดีต ส.ส. ที่บินไปพบประมาณ 50 คน จำนวน 8-9 โต๊ะ ที่ห้องอาหารจีนแห่งหนึ่งในประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ ยังมีสมาชิกของครอบครัวชินวัตรที่บินไปพบเข้าร่วมรับประทานอาหารด้วย

ประเด็นเรื่องการดูดที่จะได้แต่ ส.ส.สีเทา ในแง่หนึ่ง ก็ถือเป็นคำเตือนจากคนที่ผ่านเกมการเมืองเรื่อง “ดูด” มาก่อนอย่างโชกโชน

 

และอีกคำเตือนจากนายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)

นายอลงกรณ์กล่าวว่า การไปพบปะนักการเมือง หรือดึงนักการเมืองต่างพรรคมาอยู่ด้วย ล้วนเกิดขึ้นทุกยุคทุกสมัย

สิ่งสำคัญในวันนี้คือพรรคการเมืองและนักการเมืองควรเร่งสร้าง ฟื้นฟูความศรัทธา ปฏิรูปตัวเองให้เป็นความหวังและทางเลือกที่ดี พร้อมกันนี้ทุกพรรคต้องดูแล ส.ส. ในสังกัดเพื่อให้ยืนหยัดอยู่กับพรรค

เพราะการดูดหรือดึงตัวนักการเมืองนั้น ไม่ต่างจากทีมฟุตบอลที่ทุกทีมต้องการชัยชนะ ดังนั้น จึงต้องมีการดึงตัวนักเตะฝีเท้าดี ซึ่งไม่ต่างกับระบบการเมืองก่อนการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม หากต้องการสร้างการเมืองแบบใหม่ ก็ไม่ควรใช้แนวทางเดิม เช่น การรวบรวมนักการเมือง กลุ่มทุน เข้ามาในพรรคแล้วมีผลประโยชน์ต่อกัน แม้การดึงนักการเมืองเข้าไปอยู่ด้วยจะเป็นเรื่องปกติ แต่ไม่ควรมีการข่มขู่ คุกคาม ต่อรองผลประโยชน์

จากอดีตที่ผ่านมา ไม่มีพรรคการเมืองใดประสบความสำเร็จด้วยการรวบรวมคนโดยให้ผลประโยชน์ตอบแทน เพราะสุดท้ายแล้วจะจบที่มาทุจริต คอร์รัปชั่น และรัฐประหาร

ดังนั้น พรรคที่จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง ควรจะต้องตั้งลำให้ดี ว่าจะเดินหน้าสู่การเลือกตั้งด้วยแนวคิดใหม่หรือจะใช้วิธีการเดิมๆ

เพราะวิธีการเดิมๆ ไม่ใช่แนวทางปฏิรูปการเมือง ซึ่งจะเหมือนรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร และรัฐบาลผสมของพรรคประชาธิปัตย์ โดยไม่เกิดการพัฒนาการการเมืองขึ้นเลย สุดท้ายก็จบที่รัฐประหาร ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย

ถ้ายังไม่ก้าวพ้นระบบธุรกิจการเมืองแบบเดิม ในที่สุดจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ไม่สามารถพัฒนาระบอบประชาธิปไตยได้ ทั้งนี้ ในรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และแผนปฏิรูปประเทศ ได้สร้างแนวทางการเมืองแบบใหม่ไว้แล้ว เช่น ระบบไพรมารีโหวต ที่พรรคการเมืองเป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน ผู้สมัครรับเลือกตั้งล้วนมาจากฐานการสนับสนุนจากประชาชน ไม่ได้มาจากฐานนายทุนพรรค หรือผู้มีบารมี โดยทุกพรรคต้องหาช้างเผือกของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีชื่อเสียงในจังหวัดต่างๆ

นายอลงกรณ์เผยว่า เมื่อครั้งเป็นรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เคยดึงนักการเมืองต่างพรรคเข้าไปอยู่ด้วย แต่เป็นการทำด้วยมารยาท โดยให้เจ้าตัวมีความประสงค์ย้ายสังกัดเองเมื่อเห็นว่าแนวทางและอุดมการณ์ตรงกัน

แต่การจะสร้างการเมืองใหม่ไม่ควรใช้วิธีการเหล่านี้ เพราะจะทำให้ทุกอย่างผิดไปหมด เหมือนกับติดกระดุมเม็ดแรกผิด แล้วยังจะติดเม็ดต่อๆ ไป

ถ้าจะเดินหน้าการเมือง ก็ไม่ควรเดินหลงทาง อย่าสร้างการเมืองโดยการรวบรวมกลุ่มทุน ผู้มีอิทธิพล รวมถึงนักการเมืองที่มีประวัติไม่โปร่งใส มิเช่นนั้นจะเกิดระบบอุปถัมภ์ในธุรกิจการเมือง แล้วรับใช้กลุ่มทุนทางการเมืองมากกว่ารับใช้ประชาชนและประเทศชาติ

นั่นคือกระแสความคิดเห็น ก่อนหน้าที่นายกฯ จะไปประชุม ครม.สัญจรที่บุรีรัมย์ ฐานของพรรคภูมิใจไทย ในวันที่ 7-8 พฤษภาคม

และมีการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมกับการเชียร์กระหึ่มให้บิ๊กตู่ “สู้-สู้”