เครื่องเสียง /พิพัฒน์ คคะนาท/LOG Audio Future of Audio-Tech

เครื่องเสียง/พิพัฒน์ คคะนาท [email protected]

LOG Audio

Future of Audio-Tech

กับแบรนด์ LOG นี้ เข้ามาในบ้านเราได้สักพักใหญ่ๆ แล้ว แต่ยังหาโอกาสไปทำความรู้จักด้วยได้ไม่ถนัดนัก เนื่องเพราะยังติดๆ ขัดๆ ในหลายๆ เรื่อง ทั้งๆ ที่แรกได้ข่าวนั้น รู้สึกน่าสนใจเป็นส่วนตัวอยู่ไม่น้อย เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นเต้ยในเรื่องศิลปะด้านดนตรีระดับหัวแถวของวงการก็ว่าได้ นั่นก็คือ ออสเตรีย ซึ่งมีทริปทัวร์ ‘ตามรอยมนต์รักเพลงสวรรค์’ เป็นอันดับหนึ่งของประเทศติดต่อกันมาหลายทศวรรษแล้วนั่นเอง

เป็น ‘มนต์รักเพลงสวรรค์’ ในภาคภาษาไทยที่แปลงมาจากชื่อภาพยนตร์ The Sound of Music หนังเพลงในดวงใจของใครต่อใครทั่วโลกนั่นแหละครับ

แม้ว่าจะเลื่องชื่ออย่างยิ่งในด้านดนตรี แต่ในวงการเครื่องเสียงแล้ว ออสเตรียก็มีแบรนด์สินค้าอันเป็นที่รู้จักกันดีอย่าง AKG Acoustics อันลือชื่อมานานกว่าเจ็ดทศวรรษ (ก่อตั้งปี ค.ศ.1947) จากผลิตภัณฑ์ด้านชุดหูฟังกับไมโครโฟน ซึ่งเป็นที่นิยมไม่น้อยในกลุ่มผู้ใช้งานระดับโปรเฟสชั่นแนล ที่มักเลือกผลิตภัณฑ์ของค่ายนี้ไปใช้ในสตูดิโอของตน

LOG Audio ก้าวเข้าสู่วงการเครื่องเสียงในฐานะผู้ออกแบบและผลิตลำโพงด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย

ก่อตั้งโดย Dl Thomas Pfob ผู้มุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีดิจิตอลเข้ามาใช้กับการทำงานของลำโพงอย่างเต็มรูปแบบ อันเสมอด้วยการปฏิวัติแนวคิดการออกแบบดั้งเดิมโดยสิ้นเชิง เพื่อมุ่งหน้าไปสู่อนาคตของ Audio Technology อย่างแท้จริง

ทั้งยังเชื่อมั่นว่า LOG System ทั้งมวล สามารถมอบประสบการณ์ใหม่ในการสัมผัสเสียงดนตรีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นเสียงดนตรีที่สำแดงตัวตนอันแท้จริงออกมาได้อย่างหลากหลาย ภายใต้ความเป็นธรรมชาติของรูปแบบแห่งดนตรีนั้นๆ อย่างสมบูรณ์

โดยหัวใจสำคัญที่นำมาซึ่งความสำเร็จที่ว่านั้น คือนวัตกรรมของเทคโนโลยีที่เขาเรียกมันว่า LOG AudioEngine

 

คุณโธมัสบอกว่า LOG AudioEngine นับเป็นเทคโนโลยีเสียงที่มีความทันสมัยที่สุดในโลก และถือเป็นหัวใจสำคัญที่มีบรรจุอยู่ในผลิตภัณฑ์ของ LOG Audio ทุกชิ้น ซึ่งมีคุณสมบัติในการประมวลผลสัญญาณแบบปลอดการสูญเสียอย่างสิ้นเชิง ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าในขณะที่ทุกภาคส่วนของออดิโอ เทคโนโลยี นั้นล้วนแล้วแต่เป็นดิจิตอลทั้งสิ้น มีก็เพียงแต่ลำโพงเท่านั้นที่ขั้นตอนสุดท้ายของการทำงานยังเป็นอะนาล็อกอยู่

LOG AudioEngine จึงเปรียบได้กับสมองกลอัจฉริยะในการประมวลผลสัญญาณเสียงดิจิตอลในทุกขั้นตอนการทำงาน ก่อนจะแปรมาเป็นอะนาล็อกแล้วส่งผ่านไปยังภาคขยายเสียงที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นเพาเวอร์-แอมป์ที่มีการทำงานแบบ Class-A/B แล้วส่งไปขับชุดไดรเวอร์แบบตัวต่อตัวเพื่อแปรออกมาเป็นคลื่นเสียง โดยที่วงจรการทำงานของ LOG นั้น เป็นแบบ Lossless Signal Processing ดังที่ได้กล่าวข้างต้น ผลสุดท้ายที่ได้คือคลื่นเสียงที่มีความถูกต้องเที่ยงตรงอย่างถึงที่สุดนั่นเอง

ลำโพงของ LOG Audio ยังใช้ชุดวงจรตัดแบ่งความถี่สำหรับไดรเวอร์แต่ละตัวที่มีค่าความชันสูงแบบ Ultra Steep Digital Crossover ที่นอกจากจะช่วยให้ไดรเวอร์แต่ละตัวทำงานได้อย่างเป็นอิสระแท้จริงแล้ว ยังมีความแม่นยำสูง เพราะปลอดการสูญเสียขณะทำงาน รวมทั้งยังได้รับความช่วยเหลือจาก LOG AudioEngine ในการแก้ไขความผิดเพี้ยนของสัญญาณอันเนื่องมาจากลักษณะโครงสร้างของกรวย ด้วยกระบวนการทำงานของภาคดิจิตอล ซึ่งครอสส์โอเวอร์แบบอะนาล็อกทั่วไปไม่สามารถทำได้

ที่สำคัญอีกประการก็คือ นอกจากจะให้เสียงที่มีความเป็นธรรมชาติสูง ปลอดสีสันในน้ำเสียงแล้ว ยังสามารถเปิดฟังที่ระดับความดังมากๆ ได้ โดยปราศจากความพร่าเพี้ยนอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย

 

ชุดลำโพงของ LOG Audio แบ่งออกเป็นสามกลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรก คือ Active Speakers เป็นชุดลำโพงที่มีภาคประมวลผลสัญญาณดิจิตอล (DSP : Digital Signal Processing) และภาคขยายหรือเพาเวอร์-แอมป์ ผนวกไว้ในตัว ทำงานร่วมกับเครื่องรับสัญญาณดิจิตอล รุ่น Prolog ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของลำโพงในกลุ่มนี้ที่มีอยู่ 4 รุ่น

รุ่นใหญ่สุดซึ่งเป็น Flagship Model คือ Verve เป็นลำโพงตั้งพื้นที่คุณโธมัสบอกว่าบ่งบอกความเป็น LOG Audio ได้ชัดเจนที่สุด ทำงานในระบบ 5 ทาง ประกอบไปด้วยสับ-วูฟเฟอร์ ขนาด 12 นิ้ว ที่ให้การทำงานในช่วง 20Hz-80Hz, วูฟเฟอร์, มิดเรนจ์, ทวีตเตอร์ และซูเปอร์ ทวีตเตอร์ ที่เป็นแบบ Horn Load ไดรเวอร์แต่ละตัวมีภาคขยายเสียงเฉพาะ ซึ่งรวมกำลังขับได้ 800 Watt ให้ระดับความดังสูงสุดที่ 110dB/SPL ให้การทำงานตอบสนองความถี่ในช่วง 22Hz-25kHz

รุ่นต่อมา คือ Vivant ลำโพงระดับ Reference Speakers ทำงานในระบบ 5 ทาง เช่นเดียวกับรุ่นใหญ่ โดยติดตั้งสับ-วูฟเฟอร์ ขนาด 12 นิ้ว กับซูเปอร์ ทวีตเตอร์ ที่เป็นแบบ Horn Load ไว้ที่ด้านหลังตู้ ด้านหน้าเป็นชุดตัวขับเสียงแยกทุ้ม/กลาง/แหลม ภาคขยายเสียงที่แยกขับไดรเวอร์แต่ละตัวรวมกำลังขับได้ 600 Watt รุ่นถัดมา คือ Cube ทำงานในระบบ 3 ทาง ด้วยตัวขับเสียง 3 ชุด คือ สับ-วูฟเฟอร์, มิด/เบส ไดรเวอร์ และทวีตเตอร์ ภาคขยายเสียงที่แยกขับไดรเวอร์แต่ละตัวมีกำลังขับรวม 400 Watt

รุ่นสุดท้ายในกลุ่มนี้ คือ Image ที่มีลักษณะเหมือนภาพเข้าเฟรมสำหรับแขวนผนังแบบ On-Wall Speakers โดยที่แผงหน้าเป็นภาพเขียนปิดทับไม่เห็นชุดตัวขับเสียง ดังที่เห็นรูปประกอบนั่นแหละครับ

 

กลุ่มต่อมา คือ Active Sound Systems ซึ่งเป็นพวก All-in-One ที่รวมทุกอย่างเอาไว้ในตัวเองแบบเบ็ดเสร็จ ไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรมาเสริมการเล่น เพียงมีแหล่งโปรแกรมมาต่อเข้า หรือสตรีมสัญญาณจากอุปกรณ์ Media Player ผ่านแอพพลิเคชั่นเข้ามาแบบไร้สาย หรือจะเล่นไฟล์เพลงจากหน่วยจัดเก็บความจำผ่านเครือข่าย Wi-Fi ก็จะให้เสียงดนตรีได้ทันที

กลุ่มนี้มีสินค้าสี่รุ่นประกอบด้วย Monolog Square และ Monolog Slim ทั้งสองรุ่นเป็นลำโพงชิ้นเดียว ให้เสียงแบบโมโน ทั้งคู่เป็นลำโพงระบบ Bass Reflex 3-ทาง ภาคขยายเสียงแบบคลาสส์ เอ/บี มีกำลังขับรวม 400 Watt

อีกสองรุ่น คือ Dialog I และ Dialog II ทั้งคู่ทำงานในระบบ Bass Reflex มีภาคขยายเสียงกำลังขับรวม 400 Watt ให้ระดับความดังสูงสุด 115dB/SPL โดยให้การทำงานตอบสนองความถี่ในช่วง 32Hz-25kHz

 

ผลิตภัณฑ์ของ LOG Audio กลุ่มสุดท้าย คือ Active Built-In Speakers เป็นชุดลำโพงแบบ Customizable Shapes ที่สามารถนำไปฝังเข้าผนังห้อง หรือติดตั้งเข้าฝ้าเพดาน เพื่อความกลมกลืนไปกับสภาพห้องได้อย่างลงตัว กลุ่มนี้มีอยู่ด้วยกันสี่รุ่นให้เลือก เพื่อความเหมาะสมกับขนาดของพื้นที่ห้องที่นำไปใช้งาน ทั้งในระบบสเตอริโอและระบบมัลติ-แชนเนล

ทั้งสี่รุ่นประกอบด้วย Epilog I, Epilog II, Epilog III และ The Sub ซึ่งเป็น Active Sub-Woofer ทำหน้าที่ให้เสียงในย่านความถี่ต่ำพิเศษ (LFE : Low Frequency Effect) โดยเฉพาะ

ครับ, ทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นผลิตภัณฑ์ของ LOG Audio ก็มีเท่าที่ได้เรียบเรียงมาให้ทราบพอเป็นสังเขปฉะนี้แล

และรุ่นที่นำมาให้รู้จักกันมากขึ้นอีกหน่อยในเที่ยวหน้า คือ LOG Dialog I ครับ