อำลา ‘กมล ตันกิมหงษ์’ โค้ชสมองเพชรตะกร้อไทย

เรื่องยุ่งๆ ในมุ้งตะกร้อ ประเด็นการหักเงินรางวัลนักกีฬาของผู้จัดการทีม และสตาฟฟ์โค้ช ได้ข้อยุติไปเบื้องต้นในการประชุมคณะกรรมการบริหารสมาคมกีฬาตะกร้อฯ ภายใต้การนำของ “บิ๊กต้อม” ธนา ไชยประสิทธิ์ นายกสมาคม

ข้อสรุปที่ออกมาจากผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 5 คน เป็นผู้ตัดสิน คือ ดร.สมพงษ์ ชาตะวิถี, นายรัฐชัย ดารากร ณ อยุธยา, นายสุพจน์ ตุ้มประชา, พล.ร.ท.บุญชิต พูลพิทักษ์ และสมชาย ประเสริฐศรี

ที่ประชุมเห็นควรว่าให้ “โละยกชุด” สตาฟฟ์โค้ชชุดเดิม รวมถึงผู้จัดการทีม แล้วให้ สุพจน์ ตุ้มประชา เป็นผู้จัดการทีมและหัวหน้าผู้ฝึกสอน

ส่วนทีมผู้ฝึกสอน 4 คนคือ สามารถ โพธิ์ทอง, สมพร ใจสิงหล, ประเวศ อินทรา และ อธิยุต กิ้มทอง ซึ่งทั้งหมดนี้จะลงทำหน้าที่ในการแข่งขันตะกร้อชิงแชมป์โลกที่ประเทศมาเลเซีย ในเดือนพฤษภาคม, คิงส์คัพ ในเดือนกันยายน สุดท้ายศึกเอเชี่ยนอินดอร์และมาร์เชียลอาร์ตเกมส์ ในเดือนพฤศจิกายน

ดร.สมพงษ์ ชาตะวิถี ประธานคณะกรรมการตัดสิน บอกว่า การหักเงินรางวัลนั้น มาจากการปฏิบัติภารกิจร่วมกันซึ่งเป็นการเจรจาร่วมกันระหว่างนักกีฬา โค้ช และผู้จัดการทีม โดยนักกีฬาได้ให้คำชี้แจงว่าเป็นการหักเงินที่มากเกินไป ก็เป็นกลุ่มนักกีฬาที่ได้ 2 เหรียญทอง ซึ่งจะได้เงินคนละ 4 ล้านบาท แต่ถูกหักออกไปคนละ 50% ทำให้เหลือเพียงคนละ 2 ล้าน หรือเทียบเท่ากับได้ 1 เหรียญทอง ตอนนี้ก็พิจารณาแล้วว่าให้หยุดการทำงานของผู้จัดการทีมและผู้ฝึกสอนทันที

ส่วน พ.ต.ท.สืบศักดิ์ ผันสืบ หรือ “โจ้” อดีตนักตะกร้อชื่อดัง กล่าวว่า ที่ประชุมก็ได้รับทราบแล้วว่าเงินจำนวน 10.1 ล้านบาท ไปอยู่ที่ใคร แต่ก็รักษามารยาทในที่ประชุมว่าจะไม่ขอเปิดเผย

 

หลายคนรู้สึกตกใจกับประเด็นร้อนในวงการตะกร้อเมืองไทย วัฒนธรรมการหักเงินรางวัลนักกีฬาตะกร้อมีมาอย่างยาวนาน เพราะการแข่งขันแต่ละครั้งกีฬาตะกร้อจะโกยเงินรางวัลจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ (NSDF) มหาศาล เพราะตะกร้อมีทั้งประเภททีมชุด และทีมเดี่ยว

อีกหลายคนรู้สึกเสียดายกับฝีไม้ลายมือการทำทีมของ “โค้ชกมล” กมล ตันกิมหงษ์ ที่ถูกยกย่องให้เป็นปรมาจารย์วงการตะกร้อไทย มีลูกศิษย์ลูกหาหลายคนในวงการ

กมล ตันกิมหงษ์ ถือเป็นโค้ชตะกร้อที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ด้วยผลงานการคุมทีมชาติไทยมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี พาทีมตะกร้อชายทีมชาติไทยกวาดความสำเร็จมากมายนับไม่ถ้วน

กมล ตันกิมหงษ์ ก้าวเข้ามารับเผือกร้อนตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมตะกร้อชายไทย เมื่อปี 2538 ต่อจากสตาฟฟ์โค้ชชุดเก่า ที่ประสบความล้มเหลวในกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ ครั้งที่ 12 ที่เมืองฮิโรชิมา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อปี 2537 ด้วยการปราชัยต่อคู่ปรับตลอดกาล มาเลเซีย ได้เพียงแค่เหรียญเงินทั้งในประเภททีมเดี่ยว และทีมชุด

เวลานั้น กมล ตันกิมหงษ์ เข้ามาพร้อมกับต้องแบกความหวังของคนทั้งประเทศไว้บนบ่าของตัวเอง โดยไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย ด้วยการถือคติประจำตัว “กยิรา เจ กยิราเถนํ จะทำสิ่งไร ควรทำจริง”

ทัวร์นาเมนต์แรกของ กมล ตันกิมหงษ์ คือ ซีเกมส์ ครั้งที่ 18 ที่ จ.เชียงใหม่ ในปี 2538 พร้อมประกาศกร้าวแบบไม่หวั่นเกรงอนาคตของตนเอง โดยคิดเพียงแค่ว่า จะปล่อยให้ “เสือเหลือง” มาเลเซีย มาคว้าเหรียญทองในผืนแผ่นดินไทยไม่ได้ และเพื่อกอบกู้ศรัทธาของแฟนตะกร้อให้ได้เพียงเท่านั้น

ซีเกมส์ ครั้งที่ 18 ชื่อของ กมล ตันกิมหงษ์ ถูกบันทึกไว้เพราะเขาพาทีมจอมฟาดของไทยถลกหนังเสือเหลือง มาเลเซีย ผงาดคว้าเหรียญทองทั้งประเภททีมเดี่ยว และทีมชุดมาครองได้อย่างยิ่งใหญ่

กมล ตันกิมหงษ์

ความสำเร็จจากวันนั้นเป็นต้นมา ทำให้ กมล ตันกิมหงษ์ ได้รับความไว้วางใจจากทุกคนในวงการให้ทำหน้าที่หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมตะกร้อชายทีมชาติไทยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจวบจนถึงปัจจุบัน และเขาได้นำพาทีมตะกร้อไทยครองบัลลังก์ความยิ่งใหญ่บนเวทีตะกร้อโลกมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี

ด้วยผลงานกวาดทุกแชมป์ ทุกรายการบนโลกใบนี้มาแล้วทุกรายการ ชนิดแชมป์แล้วแชมป์เล่าทุกรายการ รวมถึงรางวัลส่วนตัวอีกมากมายชนิดนับไม่ถ้วนจนยากที่จะหาโค้ชคนไหนบนโลกมาเปรียบได้ด้วยเช่นกัน

นอกจากผลงานที่ยอดเยี่ยมแล้ว กมล ตันกิมหงษ์ ยังเป็นโค้ชผู้ให้โอกาสนักตะกร้อหลายคนจนก้าวขึ้นมาจากสู่ทำเนียบทีมชาติไทย อย่างมากมาย อาทิ พรชัย เค้าแก้ว, สิทธิพงศ์ คำจันทร์, ราชัน วิพันธ์, ยศวัจน์ อุทัยจรูญ และมากมายนับไม่ถ้วน

กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า ฝีไม้ลายมือของ “โค้ชกมล” คือสุดยอดโค้ชตะกร้อของเมืองไทยจริงๆ แต่ด้วยความที่มีเหตุการณ์กรณีการหักเงินรางวัลนักกีฬามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะทำไปโดยสุจริตใจเพื่อนักกีฬาสำรอง เพื่อนักกีฬาที่หลุดทีม หรือเหตุผลอื่นใดก็ตาม แต่ผลลัพธ์คือ ไม่ชอบธรรมกับนักกีฬาอยู่ดี เพราะผิดวัตถุประสงค์การจ่ายเงินรางวัล

ทำให้ กมล ตันกิมหงษ์ ต้องยุติบทบาทของตัวเองออกจากทีมตะกร้อไทยไป

 

นี่คือช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของทีมตะกร้อไทยที่ต้องพิสูจน์ว่า แม้ปัญหายุ่งเหยิงภายในจะรุมเร้าเพียงใด แต่เมื่อถึงเวลาทำหน้าที่เพื่อประเทศชาติแล้ว ทุกคนจะเต็มที่ สู้เพื่อศักดิ์ศรี วางเรื่องของการเมืองภายในทีมชาติออกไปก่อน

ในมุมของผู้ฝึกสอนคนใหม่อย่าง สุพจน์ ตุ้มประชา ที่เข้ามารับไม้ต่อทั้งบทบาทผู้จัดการทีม และหัวหน้าผู้ฝึกสอนนั้น ย่อมกดดันแน่นอน แต่กาลเวลาจะพิสูจน์ผลงาน เหมือนเช่น “โค้ชกมล” เคยทำไว้

เมื่อถึงเวลาเชียร์ แฟนกีฬาอย่างเราๆ ก็ต้องใส่สุด จัดเต็ม เชียร์ให้สุดเพื่อปกป้องและรักษาศักดิ์ศรีกีฬาตะกร้อของประเทศไทยว่า ยังคงเป็นเบอร์ 1 ของโลกทุกสังเวียนแข่งขัน… •

 

เขย่าสนาม | เงาปีศาจ