‘กุลวุฒิ’ แชมป์โลกคนใหม่ ความหวังเหรียญประวัติศาสตร์ของไทย

วงการนักตบลูกขนไก่ของไทยยังคงสร้างนักกีฬาระดับโลกขึ้นมาประดับวงการได้อย่างต่อเนื่อง และเป็นความประทับใจให้กับชาวไทยได้เสมอ

อย่างล่าสุดกับ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ นักแบดมินตันวัย 22 ปี ที่ล่าสุดสามารถสร้างประวัติศาสตร์เป็นนักแบดมินตันชายเดี่ยวคนแรกของไทย ที่สามารถคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จ

กุลวุฒิถือว่าเป็นนักแบดมินตันที่เป็นผลผลิตจาก โรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด ซึ่งก่อนหน้านี้เคยผลิตแชมป์โลกมาแล้วคนหนึ่ง นั่นก็คือ “เมย์” รัชนก อินทนนท์ ซึ่งเคยได้แชมป์โลกเมื่อปี 2013 และก็ประจวบเหมาะจริงๆ เพราะการคว้าแชมป์ของกุลวุฒิเป็นการครบรอบ 10 ปีพอดิบพอดี

คงไม่ต้องเล่าย้อนถึงประวัติของเจ้าหนุ่มคนนี้มากนัก เพราะว่าทุกคนน่าจะรู้กันดีอยู่แล้วว่านี่คือนักแบดมินตันชายเดี่ยวที่ดีที่สุดนับตั้งแต่หมดยุคของ “ซูเปอร์แมน” บุญศักดิ์ พลสนะ อดีตมือ 4 ของโลก ทั้งการคว้าแชมป์เยาวชนโลก 3 สมัยซ้อน รวมถึงเคยขึ้นถึงอันดับ 3 ของโลกมาแล้ว

หลังจากที่เจ้าวิวผิดหวังในปีก่อน เพราะสามารถทะยานเข้าชิงชนะเลิศได้แล้ว แต่ก็ไปพ่ายให้กับคู่ปรับอย่าง วิกเตอร์ อักเซลเซ่น นักแบดมินตันเบอร์ 1 โลกของยุคนี้ ครั้งนี้สามารถกลับมาเข้าชิงอีกครั้ง ก่อนจะเอาชนะ โคได นาราโอกะ ที่เรียกว่าเจอกันมาตั้งแต่สมัยเยาวชนไปได้ในรอบชิงชนะเลิศ

นอกจากนี้ กุลวุฒิยังทำสถิติสุดโหดตามฉายา “วิวสามเกม” ด้วยการเล่น 3 เกมตั้งแต่รอบ 16 คนสุดท้าย ยิงยาว 4 เกมติดต่อกันจนถึงคว้าแชมป์ และค่าเฉลี่ยเวลาในการเล่นแต่ละนัดขึ้นหลัก 1 ชั่วโมง

“รู้สึกดีใจเพราะสามารถไปถึงแชมป์โลกได้แล้ว อาจจะผิดหวังจากปีก่อนที่พลาดแชมป์ไป แต่ปีนี้ทำได้ก็ภูมิใจและมันเป็นความฝันตั้งแต่เด็กๆ ว่าอยากจะเป็นแชมป์โลก พอวันนี้ทำได้แล้วก็ดีใจมากๆ”

 

หลายคนอาจจะมองว่าเจ้าวิวในปีนี้ พกดวงไปด้วย เพราะว่าคู่ปรับอย่างอักเซลเซ่น ชิงตกรอบไปก่อนตั้งแต่รอบ 8 คนสุดท้าย เพราะไปแพ้ให้กับ เอช.เอส ปรานอย นักแบดมินตันอินเดีย ไม่งั้นวิวอาจจะต้องเจอศึกหนักตั้งแต่รอบตัดเชือกไปแล้ว ทว่า เจ้าวิวเองก็ไม่ได้คิดแบบนั้น

“คนทั่วไปอาจจะมองว่าสายมันเปิดกว้างแล้วเหมือนจะได้ง่ายขึ้น แต่ตัวผมกลับมองว่ามันเป็นเรื่องอันตรายมากกว่า เพราะถ้าเราเจอกับนักกีฬาที่คิดว่าจะเอาชนะได้มันจะมั่นใจจนเกินไปทำให้ประมาท แล้วเล่นไม่เป็นตัวเอง ก็จะยิ่งกดดันมากขึ้น”

แน่นอนว่าหลังจากคว้าแชมป์โลกได้ เป้าหมายระยะสั้นในตอนนี้ ก็คือการลุ้นเหรียญรางวัลใน เอเชี่ยนเกมส์ 2022 (ที่เลื่อนมาแข่ง 2023) ที่นครหางโจว ประเทศจีน ในช่วงปลายเดือนกันยายน-ต้นเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งนี่คือเป้าหมายสำคัญของวงการแบดมินตันไทย เพราะที่ผ่านมา ถ้านับเฉพาะประเภทชายเดี่ยวของไทย เคยได้เหรียญรางวัลแค่ครั้งเดียวเท่านั้น คือ สงบ รัตตนุสสรณ์ ที่ได้เหรียญทองแดงตั้งแต่ปี 1970 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพนู่น

และประเทศไทยเองก็เคยได้เหรียญรางวัลประเภทบุคคลครั้งสุดท้าย ต้องย้อนไปปี 2006 ที่โดฮา ประเทศกาตาร์ จากคู่ผสมของ “เต่า” สุดเขต ประภากมล กับ “ส้ม” สราลีย์ ทุ่งทองคำ แต่หลังจากนั้นมาแม้เราจะผลิตนักแบดมินตันระดับท็อปของโลกมาได้เรื่อยๆ แต่พอถึงเอเชี่ยนเกมส์ก็ไม่ถึงฝั่งฝันเสียที

 

อย่างไรก็ตาม เส้นทางของวิวคงไม่ง่ายแน่นอนเพราะก่อนจะไปถึงเอเชี่ยนเกมส์ เจ้าตัวมี 2 รายการใหญ่อย่างซูเปอร์ 1000 ไชน่า โอเพ่น ที่ประเทศจีน และซูเปอร์ 500 ฮ่องกง โอเพ่น ที่จะถอนตัวก็ไม่ได้เนื่องจากจะโดนปรับเงินเป็นจำนวนมหาศาล

“การลงเล่นหลายรายการติดมีผลอยู่แล้วเพราะเราไม่ได้ฝึกซ้อมตามโปรแกรมที่ควรจะเป็น บางทีสภาพร่างกายมันอาจจะไม่สามารถยืนระยะได้เหมือนกับรายการแรกๆ ด้วย ดังนั้น ผมขอคิดไปทีละรอบดีกว่า เพราะยิ่งคิดสูงก็ยิ่งกดดันแล้วเล่นไม่เป็นตัวเองด้วย”

เล่ามาถึงตรงนี้ แฟนขนไก่ชาวไทยอาจจะต้องทำใจไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะโปรแกรมโหดแบบจริงจัง บวกกับเจ้าตัวเป็นพวกเล่น 3 เกมด้วยแล้ว กว่าจะถึงเอเชี่ยนเกมส์มีหวังบักโกรกแน่นอน

 

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสูงสุดของกุลวุฒิ คือการเป็นแชมป์ 3 รายการใหญ่ที่สุดในโลก ทั้ง ออลอิงแลนด์ รายการที่เก่าแก่ที่สุดในโลก, ชิงแชมป์โลก และเหรียญทอง โอลิมปิกเกมส์

ซึ่งตอนนี้จาก 3 ได้มาแล้ว 1 ก็คือชิงแชมป์โลก ยังเหลือเป้าหมายอีก 2 รายการก็คือออลอิงแลนด์ อันนี้ก็อาจจะลุ้นได้ไม่ยากเพราะมีการแข่งขันทุกปีอยู่แล้ว แต่ที่ยากที่สุดคงจะต้องเป็นโอลิมปิกเกมส์ เพราะนอกเหนือจากแข่งทุกๆ 4 ปีแล้ว มันยังเป็นเรื่องของโชควาสนาในการจะได้เหรียญรางวัลอีกด้วย

และเราก็เคยเห็นตัวอย่างจากบรรดานักแบดมินตันไทยที่ได้แชมป์โลกมาแล้ว ทั้งรัชนกเอง หรือคู่ผสมอย่าง “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ที่หลังจากได้แชมป์โลกมา มักจะมีช่วงที่ฟอร์มดร็อปลงไปอยู่พักหนึ่ง และต่อให้ท็อปฟอร์มขนาดไหน พอถึงเวทีโอลิมปิกเกมส์ก็ไม่ง่ายทุกที

เพราะมันมีเรื่องความกดดัน, โชคชะตา หรืออาการบาดเจ็บเข้ามาเกี่ยวด้วย

 

“แม่ปุก” กมลา ทองกร ประธานโรงเรียนแบดมินตันบ้านทองหยอด ซึ่งเป็นผู้ปลุกปั้นทั้งรัชนกและกุลวุฒิมากับมือ มองว่า การคว้าแชมป์โลกได้ครั้งหนึ่งเป็นอะไรที่มันหนักมากๆ ทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งก็ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูกลับมาพอสมควร อย่างตอนรัชนกเองพอหลังจากได้แชมป์โลกในปี 2013 ก็ดร็อปไปพักหนึ่งจนกลับมาคว้าแชมป์เอเชีย รวมถึงคว้าแชมป์ซูเปอร์ซีรีส์ 3 รายการติดกันอย่างยิ่งใหญ่จนขึ้นถึงมือ 1 โลกได้

“แต่เราก็ไม่ได้คิดว่าเราทำอะไรผิดพลาด ก็จะใช้วิธีเดิมในการพัฒนากุลวุฒิไปสู่เส้นทางที่จะไปลุ้นเหรียญโอลิมปิกเกมส์ให้ได้ เพราะเป้าหมายใหญ่ของเราคือการวางแผนเพื่อไปคว้าเหรียญรางวัลโอลิมปิกเกมส์อยู่แล้ว ช่วงนี้อาจจะสะดุดไปบ้างก็ไม่เป็นไร” แม่ปุกกล่าวเอาไว้

ซึ่งนั่นเป็นเรื่องของอนาคต ที่เราจะต้องคอยเฝ้าดูพัฒนาการของกุลวุฒิกัน

เพียงแต่ตอนนี้ สิ่งที่เราสามารถสบายใจได้ นั่นคือเราจะกลับมามีนักแบดมินตันชายเดี่ยว ที่พอจะเป็นความหวังให้กับคนไทยได้อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่บุญศักดิ์เคยทำได้ดีที่สุดคือการจบอันดับ 4 ในโอลิมปิกเกมส์ ที่กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ เมื่อปี 2004

และหวังว่า กุลวุฒิจะสานฝันคนไทยทุกคนให้สำเร็จ •

 

เขย่าสนาม | เด็กเก็บบอล

[email protected]