ประตูแรกสู่บอลโลก 2026 งานที่ไม่ยาก-ไม่ง่ายของ ‘ช้างศึก’

เส้นทางสู่ ฟุตบอลโลก 2026 รอบสุดท้ายของ “ช้างศึก” ทีมฟุตบอลทีมชาติไทย เริ่มเปิดให้เห็นกันบ้างแล้ว หลังการจับสลากแบ่งสายในรอบสองออกมาเป็นที่เรียบร้อย

ในฟุตบอลโลก 2026 ซึ่งจะจัดขึ้นที่ประเทศ สหรัฐอเมริกา, แคนาดา และ เม็กซิโก ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่มีการเพิ่มทีมเข้าแข่งขันเป็น 46 ทีม และข้อดีก็คือทวีปเอเชียจะได้โควต้าเพิ่มมาจากเดิม 4.5 ทีม กลายเป็น 8 ทีม และ 1 ทีมเล่นรอบคัดเลือกระหว่างทวีป

โดยในส่วนของทวีปเอเชียนั้น จะเริ่มในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งจะเริ่มจากรอบแรก ที่เอาทีมอันดับ 27-46 ของเอเชีย มาแข่งขันแบบเหย้า-เยือนก่อน เพื่อหา 10 ทีมเข้ามาร่วมกับ 26 ทีมแรกของเอเชีย

สำหรับทีมชาติไทย อันดับ 113 ของโลก และเป็นอันดับ 21 ของเอเชีย ก็คือเริ่มจากรอบคัดเลือก รอบสองเป็นต้นไป

ก็ต้องบอกว่าในการจับสลากแบ่งสายสำหรับรอบสองที่ผ่านมา ทีมชาติไทยก็ถือว่ามีดวงอยู่บ้างไม่น้อย เพราะถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถทำอันดับโลกไปจบ 18 แรกของเอเชีย เพื่อขยับเข้าไปอยู่โถสอง จะได้ไม่เจอคู่แข่งที่แกร่งมากนัก แต่ผลจับสลากออกมาก็ถือว่าน่าพอใจไม่น้อย

สำหรับกลุ่มของทีมชาติไทยนั้น ประกอบไปด้วย “โสมขาว” เกาหลีใต้ อันดับ 28 ของโลก และเบอร์ 4 ของเอเชีย กับจีน ทีมอันดับ 80 ของโลก และเบอร์ 11 ของเอเชีย ส่วนอีกทีมเป็นทีมที่มาจากรอบคัดเลือก ระหว่างสิงคโปร์ หรือ กวม

 

ข้อแรกที่น่าพอใจเลยคือทีมชาติไทยจะไม่ต้องไปเจอกับทีมจากตะวันออกกลางเลยแม้แต่ทีมเดียวในรอบนี้ ซึ่งหนึ่งเลยคือลดเรื่องของการเดินทาง ไม่ต้องเดินทางไกลมากให้ร่างกายล้า บวกกับสามารถวางแผนในการเตรียมทีมสำหรับเกมเยือนได้ง่าย

ขณะที่คู่แข่งสำคัญในโถสอง ออกมาเป็นทีมชาติจีน ซึ่งก็ไม่ถึงขั้นว่าห่างชั้นกันมาก หรือสู้ไม่ได้เลย เพราะหลายๆ ครั้งที่เจอทีมชาติจีน ก็สามารถเอาชนะได้ โดยในรอบนี้จะคัดเอาแชมป์และรองแชมป์กลุ่ม จาก 9 กลุ่ม ผ่านเข้าสู่รอบสาม 18 ทีม ดังนั้น การที่คู่แข่งจากโถ 2 พอจะสู้ได้ มันก็ทำให้ทีมชาติไทยมีโอกาสขึ้นมา

อีกหนึ่งข้อดีของทีมชาติไทย จากการจับสลากที่ผ่านมา คือโปรแกรมการแข่งขันที่ถือว่าค่อนข้างเข้าทางทีเดียว

สำหรับโปรแกรมของทีมชาติไทยในรอบสองนั้น นัดที่ 1 เล่นในบ้านพบทีมชาติจีน วันที่ 16 พฤศจิกายน จากนั้นจะบุกไปเยือนทีมจากรอบคัดเลือก (สิงคโปร์-กวม) ในวันที่ 21 พฤศจิกายน

ช่วงนัดที่ 3-4 ถือว่าสำคัญมากๆ เพราะจะเป็นการเล่นเหย้า-เยือน กับทีมระดับโลกอย่างเกาหลีใต้ โดยไทยจะบุกไปเยือนก่อน ในวันที่ 21 มีนาคม ก่อนจะกลับมาเล่นที่ประเทศไทย ในอีก 5 วันต่อมา

แล้วสองนัดสุดท้าย นัดที่ 5 ไทยจะบุกไปเยือนจีน ในวันที่ 6 มิถุนายน ก่อนจะได้กลับมาส่งท้ายในบ้าน กับสิงคโปร์หรือกวม ในวันที่ 11 มิถุนายน

เมื่อดูจากโปรแกรม ไทยได้ทั้งเปิดในบ้าน และปิดในบ้าน ถือว่าค่อนข้างได้เปรียบในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะเกมแรกในการเจอกับจีน ถ้าสามารถเปิดหัวด้วยชัยชนะได้ มันจะทำให้เพิ่มความมั่นใจ ยิ่งถ้า 2 เกมแรกเก็บ 6 แต้มเต็มได้ มันทำให้นัดที่ 3-4 สามารถเล่นได้สบายมากขึ้นและไม่กดดันกับเกาหลีใต้

 

เรียกได้ว่าผลการจับสลากถือว่าออกมาค่อนข้างเป็นใจ แต่ปัญหาสำหรับทีมชาติไทย อยู่ที่เรื่องของการเตรียมตัวมากกว่า

แน่นอนว่านี่คือช่วงคัดบอลโลก และเป็นช่วงฟีฟ่าเดย์ ที่ มาโน่ โพลกิ้ง หัวหน้าผู้ฝึกสอนช้างศึก สามารถจัดเต็มเรียกนักเตะที่ต้องการมาได้แบบฟูลทีม ยกเว้นเสียแต่จะมีใครดวงแตกบาดเจ็บในช่วงดังกล่าวเท่านั้น

นั่นก็หมายถึงว่าทีมชาติไทยสามารถใช้ชุดฟูลทีมได้ทั้งหมด และสโมสรก็ไม่มีข้ออ้างในการปล่อยตัวนักเตะมาร่วมทีมด้วย

แต่ปัญหาคือการได้ตัวที่ดีที่สุดมา ก็ควรจะต้องมีเวลาให้นักเตะเหล่านี้ได้ซ้อมร่วมกันด้วย เพราะหลายๆ ครั้งกว่าจะเรียกตัวมาได้ครบทีม มีเวลาซ้อมกันเพียงแค่ 1-2 ครั้งเท่านั้น ซึ่งมันไม่เพียงพอในการจะหลอมรวมทุกคนที่มาจากต่างสโมสรให้เท่ากัน (ไม่ต้องไปเทียบว่าชาติชั้นนำเขาทำกันได้ เพราะไทยยังไม่ใช่!)

อันนี้เป็นโจทย์ของผู้จัดการทีมอย่าง “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ที่จะต้องพูดคุยกับ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และ บริษัท ไทยลีก ในการจัดโปรแกรมการแข่งขันช่วงก่อนจะเข้าฟีฟ่าเดย์ อย่างเช่น จากเดิมจะเตะศุกร์-อาทิตย์ แล้วค่อยปล่อยตัวนักเตะมาเข้าแคมป์ทีมชาติวันจันทร์ ก็อาจจะต้องขยับนัดก่อนเข้าฟีฟ่าเดย์ ไปเตะกลางสัปดาห์ เช่น พุธ-พฤหัสฯ หรือไม่ เพื่อให้มีเวลาซ้อมเพิ่มสัก 1-2 วัน ก็ยังดี

นอกจากนี้ การวางโปรแกรมอุ่นเครื่อง ก็ดูจะไม่เข้ากับคู่แข่งที่จะเจอเท่าไหร่ อย่างเช่น คิงส์คัพ ในเดือนกันยายน ซึ่งจะเจออิรัก, อินเดีย หรือเลบานอน หรือเดือนตุลาคม ที่จะไปบุกยุโรปเจอเอสโตเนีย กับจอร์เจีย ไม่มีทีมไหนที่จะมาจำลองการเล่นในการเจอกับเกาหลีใต้ หรือจีน ได้เลยแม้แต่นัดเดียว

 

มาโน่เองได้พูดถึงผลการจับสลากเอาไว้ว่า เกาหลีใต้ แกร่งสุดในกลุ่ม ซึ่งไทยต้องแย่งกับจีน หรือไม่ก็สิงคโปร์-กวม แต่เชื่อมั่นว่าถ้าได้ครบชุด ผู้เล่นดีที่สุดก็มีโอกาส โดยเฉพาะการเล่นในบ้าน เป็นแรงผลักดันให้ทำผลงานดี สิ่งสำคัญมากคือการมีผู้เล่นที่ดีสุด หวังว่ามาดามแป้งจะช่วยประสานสโมสรให้ได้ผู้เล่นดีสุด

“เกมในบ้านพบจีนถือว่าสำคัญที่สุด ว่าจะมีหวังไปต่อมากแค่ไหน ถ้าชนะก่อน ก็เพิ่มความมั่นใจถึงนัดต่อไป นัดแรกจะตัดสินชะตาทีมชาติไทยเลยก็ว่าได้ ถ้าชนะในบ้าน แล้วไปเก็บนอกบ้านที่เยือนสิงคโปร์ หรือกวม ก็ได้ 6 แต้ม เมื่อถึงเกมต่อไป ไม่กดดันมาก แม้เจอเกาหลีใต้ก็ตาม”

เรียกได้ว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งบททดสอบตัวกุนซืออย่างมาโน่เช่นกัน เพราะที่ผ่านมาถึงแม้จะพาทีมคว้าแชมป์ในระดับอาเซียนมาได้ 2 สมัยติด แต่ปัญหาของเขาคือพอเวลาเจอคู่แข่งที่แกร่งกว่า น้อยครั้งที่จะได้ผลงานที่ดีกลับมา

แน่นอนว่าคนไทยอย่างน้อยก็อยากจะเข้าไปลุ้นในรอบ 18 ทีมสุดท้ายต่อให้ได้ ซึ่งไหนๆ ผลจับสลากก็มาเข้าทางขนาดนี้แล้ว

ขอแค่การเตรียมการให้ดี ลุยกันให้เต็มที่ แค่นี้ทีมชาติไทยและสมาคมจะให้กันได้หรือไม่นะ

คงต้องรอลุ้นกัน •

 

เขย่าสนาม | เด็กเก็บบอล

[email protected]