เผยแพร่ |
---|
คอลัมน์ Technical Time-Out //SearchSri
ปิดฉากลงไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ “พรีเมียร์ลีก” อังกฤษ ลีกลูกหนังยอดนิยมอันดับ 1 ของโลก
ลีกลูกหนังเมืองผู้ดีฤดูกาล 2016-2017 ขับเคี่ยวกันอย่างเข้มข้นถึงหยดสุดท้ายเมื่อทีมใหญ่ๆ อย่าง “แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล” และ “อาร์เซน่อล” ต้องชิงอันดับท็อป 4 เพื่อสิทธิการไปแข่งขันถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
ขณะที่ “เชลซี” ก็ประสบความสำเร็จสุดยอด ก้าวไปคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองเป็นสมัยที่ 5 และแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 6 พลิกสถานการณ์จากที่เลวร้ายสุดๆ เมื่อฤดูกาลก่อนได้อย่างน่าทึ่ง
หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายๆ ทีมประสบความสำเร็จในครั้งนี้ นอกจากผู้จัดการทีมซึ่งปีนี้ขนกุนซือไฮโปรไฟล์มาชนกันเพียบไปหมดแล้ว เรื่องการซื้อนักเตะใหม่เข้ามาเสริมทัพก็มีส่วนสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน
ซึ่งการซื้อขายที่ลงตัว นำไปสู่สัมฤทธิผลในสนามแข่งขันในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่ผ่านมานั้น มีอยู่หลายรายที่น่าเอ่ยถึงและเป็นตัวอย่างการมองการณ์ไกลของกุนซือแต่ละทีมได้เป็นอย่างดี
ดังนี้
เอ็นโกโล่ ก็องเต้ (เชลซี)
กองกลางตัวรับชาวฝรั่งเศสเป็นฟันเฟืองสำคัญที่ช่วยให้ “เลสเตอร์ ซิตี้” คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกดุจเทพนิยายเมื่อฤดูกาล 2015-2016 จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่เชลซีจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อดึงเขามาร่วมทีมให้ได้
ก็องเต้สามารถปรับตัวเล่นได้หลายตำแหน่ง มักจะคอยดักบอลหรือหยุดการบุกของคู่แข่งในแดนกลางได้อย่างมีประสิทธิภาพ และขณะเดียวกันก็เสริมเกมรุกได้ด้วย
หนึ่งในผลงานยอดเยี่ยมของเขาคือการช่วยให้เชลซีถล่ม “แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด” 4-0 เมื่อเดือนตุลาคม โดยที่ “ปอล ป๊อกบา” แทบเล่นไม่ออก
แถมจบฤดูกาล ก็องเต้ยังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมนักข่าวฟุตบอลของอังกฤษและสมาคมนักฟุตบอลอาชีพไปเป็นเครื่องการันตีผลงานอันสุดยอดอีกต่างหาก
ซลาตัน อิบราฮิโมวิช (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)
ยอดดาวยิงชาวสวีดิชเซ็นสัญญากับปีศาจแดงช่วงต้นฤดูกาลแบบไม่มีค่าตัวหลังหมดสัญญากับ “ปารีส แซงต์แชร์แมง” ท่ามกลางข้อกังขาว่าเขาจะทำอะไรได้มากขนาดไหนด้วยวัย 35 ปี แถมยังเป็นลีกที่มาตรฐานทีมใกล้เคียงกันอย่างพรีเมียร์ลีก
แต่ซลาตันก็สยบทุกเสียงวิจารณ์ ลงสนามอย่างสม่ำเสมอ ยิงไป 28 ประตู กับ 9 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 46 นัดในทุกถ้วย และถ้าไม่ใช่เพราะโชคร้ายได้รับบาดเจ็บที่เข่าจนต้องผ่าตัดด่วนและปิดฤดูกาลล่วงหน้า เขาก็น่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้อีกเยอะ
ซลาตันเป็นดาวซัลโวสูงสุดของสโมสรในปีนี้ (ทิ้งห่างอันดับ 2 มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ยิงได้ 11 ลูก) อีกทั้งยังเป็นปีแรกนับตั้งแต่หมดยุคของ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่แข้งผียิงได้ถึง 20 ประตูใน 1 ฤดูกาล
ดาวิด ลุยซ์ (เชลซี)
หลายสื่อพากันวิจารณ์อย่างขบขันตอนที่เชลซีพยายามซื้อตัวลุยซ์กลับจากเปแอสเชในราคา 34 ล้านปอนด์ (1,530 ล้านบาท) ช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหลายคนยังไม่ลืมภาพความล้มเหลวของลุยซ์กับทีมชาติบราซิลในศึกฟุตบอลโลก 2014 รอบรองชนะเลิศ บนแผ่นดินของพวกเขาเอง
แต่กองหลังชาวบราซิเลียนก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเขายังเป็นแนวรับที่ไว้ใจได้สำหรับสิงห์บลู
อีกทั้งยังมีแคแร็กเตอร์โดดเด่นนอกสนาม
ด้วยนิสัยขี้เล่นอารมณ์ดีที่กลายเป็นศูนย์รวมใจของเพื่อนร่วมทีมผ่านช่วงเวลาที่ตึงเครียดบางช่วงตลอดฤดูกาลได้ดี
วิกเตอร์ วันยาม่า (ท็อตแนม ฮอตสเปอร์)
แม้จะไม่โดดเด่นเท่ากับแข้งสเปอร์สบางคน แต่กองกลางชาวเคนยาก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้เป็นอย่างดี ตอบรับความไว้วางใจของ “เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่” ซึ่งดึงเขามาร่วมงานอีกครั้งหลังจากเคยทำงานด้วยกันที่ “เซาแธมป์ตัน”
วันยาม่าขยันเล่นบอล ไล่บอล เก็บบอลแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แถมยังมีลูกโยนยาวที่แม่นยำ แม้ความกระตือรือร้นดังกล่าวอาจจะเกินเลยไปบ้างจนทำให้โดนใบแดงถึง 3 ครั้งในฤดูกาลนี้ แต่วันยาม่าก็ทดแทนด้วยการยิงประตูให้ทีมได้ 4 ลูก
ด้วยวัยเพียง 25 ปีในตอนนี้ เขายังพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
ซาดิโอ มาเน่ (ลิเวอร์พูล)
ปีกชาวเซเนกัลแสดงให้เห็นว่าค่าตัว 34 ล้านปอนด์ ที่หงส์แดงจ่ายให้ทีมนักบุญช่วงปิดฤดูกาลนั้นคุ้มค่าขนาดไหน
ด้วยความเร็วในการฉีกหนีแนวรับคู่ต่อสู้ ทักษะการเลี้ยงบอลฝ่ากองหลัง หรือดึงความสนใจของฝ่ายตรงข้าม มาเน่ช่วยให้เกมรุกของลิเวอร์พูลน่ากลัวขึ้นอีกหลายเท่า
มาเน่ยิงให้หงส์แดงได้ถึง 13 ประตูในฤดูกาลแรก ทั้งที่ต้องกลับไปรับใช้ชาติช่วงหนึ่งในศึกแอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ และมีปัญหาบาดเจ็บในช่วงหลังๆ
สถิติที่น่าสนใจช่วงมาเน่ไม่อยู่เมื่อเดือนมกราคมคือ หงส์แดงทำแต้มจากเกมลีกได้เพียง 1 จากคะแนนเต็ม 9 แต้ม แถมยังโดนวูล์ฟแฮมป์ตันเขี่ยตกรอบเอฟเอคัพเสียอีก
ข้อเท็จจริงดังกล่าวน่าจะยืนยันถึงความสำคัญที่มาเน่มีต่อทีมได้เป็นอย่างดี