เรื่องเล่า “เงินฝิ่น” กับ “องค์กรตำรวจ-ขุมทรัพย์เจ้าคุณปู่”

เมื่อครั้งที่เป็น นรต.ใหม่ๆ รับรู้มาจากไหนจำไม่ได้ว่า โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพรานของผมนี่สร้างด้วยเงินฝิ่น!

รวมทั้งโรงพักรุ่นใหม่ (ในขณะนั้น) ที่เป็นตึกสีเทาอ่อนควันบุหรี่ เช่น พญาไท บางซื่อ ปทุมวัน และหลายต่อหลายแห่ง ก็มาจากเงินค้าฝิ่นทั้งสิ้น

เป็นยุคที่ตำรวจช่วยตัวเองเต็มรูปแบบและเต็มสูบ พัฒนาอย่างฟาสต์แทร็ก ถ้าตำรวจค้าฝิ่นจริงก็ถือว่า “เสียสละ” ยอมทำผิดและสร้างบาป

เพิ่งนึกขึ้นมาได้เพราะไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะจริงหรือไม่จริง อาจจะเป็นข่าวลือหรือข่าวปั้นใส่ร้าย พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ และตอนนั้นผมจะเชื่อหรือไม่กับข่าวนี้ก็ลืมเสียสนิท

ถ้าพูดถึงจิตวิทยาที่ว่าคนเรามักจะเชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ ผมตอบได้ว่าในกรณี “ตำรวจค้าฝิ่น” ที่พูดกันเมื่อ 60 ปีก่อนนี้ผมไม่แคร์สักเท่าไรว่าจะจริงหรือไม่จริง ทั้งที่รู้ว่าฝิ่นเป็นยาเสพติดให้โทษ แต่ความรู้สึกของผมยังเห็นว่าไม่ถึงขั้น “ชั่วร้าย”

โดยเฉพาะคนจีนยุคก่อนหน้านั้นเห็นฝิ่นเป็นยาหรือยาชูกำลัง แพทย์ใช้เป็นยาชา

ย้อนกลับไปอีกเมื่อประมาณ 70 กว่าปีก่อน ผมยังจำได้ว่าเวลาไปเที่ยวบ้านลุง ซึ่งเป็น “อินทะเนียใหญ่” (นายช่างใหญ่) ของโรงไฟฟ้าหาดใหญ่ ผมเห็นมีคนงานบางส่วนเป็นคนจีนมาจากต่างประเทศ ทำนองเดียวกับในยุคบุกเบิกหรือ pioneer

เกมแรกที่เราเล่นกันเมื่อไปโรงไฟฟ้าก็คือไปแอบดู “แปะเล้า” สูบฝิ่นในห้องพัก กลิ่นหอมของฝิ่นกับนิ้วเท้างองุ้มของแปะเล้าขณะดูดฝิ่นบอกให้รู้ว่าแกมีความสุขสมและสบายอารมณ์ประมาณไหน และเราก็สนุกกันเมื่อแกเปิดประตูห้องพักออกมาคำรามพร้อมทำท่าไล่จับด้วยความฉุนเฉียว

ถ้าฝิ่นไม่ได้เป็นหัวเชื้อของยาเสพติดที่มีอันตรายร้ายแรง มันอาจจะอยู่ในฐานะเท่ากับพี่คนโตของกัญชาในขณะนี้ก็ได้

ในปัจจุบันนี้เราต้องยอมรับว่าฝิ่นเป็นสิ่งเสพติดอันตราย การค้าฝิ่นเป็นเรื่องผิดบาปมหันต์ แต่อย่างไรก็ตาม จะให้เรายอมรับว่าตำรวจกำเนิดมาจากสิ่งผิดบาป คนที่เป็นตำรวจจึงผิดบาปมาแต่กำเนิดนั้น ผมว่าเป็นตรรกะที่ผิดจนรับไม่ได้

เรื่อง “เงินฝิ่น” นี้คนรุ่นผมเกิดทันและบางคนความจำดี จึงพอมีเค้าลางที่จะให้ขุดคุ้ยขึ้นมาเล่าให้ลูกหลานฟัง เพียงแต่จะถือเอาเป็นหลักฐานอย่าง “คำให้การ” นั้นไม่ได้

สมัยรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม นั้น ผมเชื่อว่ากฎหมายสับสนไม่น้อยไปกว่ายุคนี้ ผู้ได้อำนาจรัฐและเป็นเผด็จการย่อมตีความให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองถ่ายเดียว

รัฐมีเงินที่ไม่ได้มาจากการกระทำผิดกฎหมายอยู่ก้อนหนึ่ง นั่นคือเงินรางวัลนำจับในความผิดบางประเภท เช่น ยาเสพติด สินค้าหลบหนีภาษีศุลกากร เป็นต้น แล้วผู้มีอำนาจได้ออกกฎระเบียบเพิ่มเติมเป็นการภายในให้หักเป็นเปอร์เซ็นต์ไว้ส่วนหนึ่งก่อนจ่ายให้ผู้มีสิทธิรับเงินรางวัล เงินส่วนที่หักไว้นี้เก็บไว้ด้วยกฎ “หลวมๆ” ที่ไม่ต้องส่งเป็น “รายรับแผ่นดิน” หมายความว่ากรมศุลกากรหรือกรมสรรพากร กระทรวงการคลังคงเก็บไว้ในอีกบัญชีเพื่อรอคำสั่งและการตีความของผู้มีอำนาจและผู้ออกกฎ

แต่ผู้มีอำนาจย่อม “เปลี่ยนผ่าน” ไปตามวิสัย ผู้มาใหม่อาจจะไม่รู้ลึกถึงกฎระเบียบ หรือรู้แต่ไม่รับรู้เพราะไม่อยากรับผิดชอบ

เงินก้อนนี้จึงกลายเป็น “ขุมทรัพย์เจ้าคุณปู่” รอทายาทตัวจริง (ที่ไม่มีจริง)

เมื่อ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง (อีกตำแหน่งหนึ่ง) นั้น ท่านได้ทำให้เงินส่วนนี้เป็นเงิน “นอกงบประมาณแผ่นดิน” เอามาพัฒนากรมตำรวจอย่างรุดหน้าและรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน เงินที่ได้อย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นที่เปิดเผยอย่างอื่น ก็คงจะนำเข้าบัญชีนอกงบประมาณนี้ด้วย

ในช่วงเวลานั้นเองมีข่าวซุบซิบผสมข่าวลือ (เสมือนจริง) แปลกๆ ชุกชุม เช่น

ทหารจับทหารขนฝิ่น นายทหารหัวหน้าผู้จับกุมต้องโอนหนีมาเป็นนายตำรวจ

การพิสูจน์ของกลางบางล็อตผลปรากฏว่าไม่ใช่ฝิ่นแต่เป็นมะขามเปียก

ข่าวนายตำรวจชั้นอัศวินเอาฝิ่นของกลางขึ้นเครื่องบินไปทิ้งทะเล แต่ประชาชนเชื่อว่าเอาไปขายต่างประเทศมากกว่า ใครจะไปทิ้งของมีค่าลงคอ

นอกจากนี้ ยังมี “ของจริง” ที่ผมได้สัมผัสด้วยตัวเอง คือ พนักงานตรวจคนเข้าเมืองหาดใหญ่ซึ่งบ้านพักอยู่ใกล้กับบ้านพักของเรา ถูกตำรวจยิงตายบนรถไฟสายใต้ ฐานต่อสู้ขัดขืนการจับกุม แต่ผม (ซึ่งขณะนั้นยังไม่เป็นตำรวจ) ไม่ค่อยเชื่อ ด้วยว่าผู้ตายเป็นคนเรียบร้อย ไม่น่าจะกล้ากระทำความผิดอุกอาจถึงขนาดนั้น

อีก 2 เรื่องเกิดขึ้นเมื่อผมเป็นนายตำรวจแล้วก็คือ นายตำรวจรุ่นพี่ (2 ปี) ขนฝิ่นแล้วหนีการจับกุมไปอยู่ประเทศลาว ต่อมานายตำรวจรุ่นน้อง (2 ปี) ก็ถูกนายตำรวจรุ่นผมจับกุมแต่ปล่อยให้หนีไปประเทศลาวเช่นกัน

เอาเหตุการณ์เหล่านี้มาประมวลก็ย่อมเชื่อได้ว่าองค์กรตำรวจพัฒนาด้วยเงินฝิ่น