“ภาพลับ-ภาพรัก” “การเมือง-การมุ้ง” ปริศนาอดีตรองนายกฯ อุ่นเครื่องก่อนเลือกตั้ง

ภาพลับที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม นำออกมาเปิดเผย กลายเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงและวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างกว้างขวางรวดเร็ว

เป็นภาพหญิงสาวกับชายสูงวัยในลักษณะแนบชิดกัน โดยพาดพิงฝ่ายชายว่าเป็น อดีตรองนายกรัฐมนตรี

ระบุด้วยว่า นอกจากภาพที่เปิดออกมาแล้วยังมีภาพอดีตรองนายกฯ ในสภาพโป๊เปลือยอยู่กับหญิงสาวคนเดียวกันอีกจำนวนมาก

โลกออนไลน์คึกคักอย่างยิ่งในการพยายามเสาะหาข้อเท็จจริงว่า อดีตรองนายกฯ ในภาพคือใคร ดำรงตำแหน่งในรัฐบาลชุดใด

รายละเอียดจากเบาะแสแรกของทนายตั้ม ที่โพสต์ภาพนี้ ระบุเพียง

ผัวช็อก เจอภาพเมียเป็นชู้กับอดีตรองนายกรัฐมนตรี! คุณ ก. มาปรึกษาผมว่าช่วงปีที่ผ่านมาภรรยามีท่าทีเปลี่ยนไป จึงแอบเอาโทรศัพท์มาเช็ก ปรากฏว่าเจอภาพโป๊เปลือยของภรรยา แล้วที่ช็อกยิ่งกว่าคือ คนที่ถ่ายรูปคู่เปลือยด้วยกันนั้นคืออดีตรองนายกฯ เป็นคนที่ใครๆ ก็รู้จัก จึงมาปรึกษาจะทำอย่างไรต่อไป?

ในเบื้องต้นสังคมเชื่อว่า การที่ทนายตั้มออกมาเปิดเรื่องอื้อฉาวของอดีตรองนายกฯ หากไม่มีพยานหลักฐานชัดเจน คงไม่กล้าเปิดหน้าชน

แต่อีกมุมก็อดคิดไม่ได้เช่นกันว่า เรื่องดังกล่าวอาจเป็นการดิสเครดิตทางการเมือง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อก่อนเข้าสู่โหมดเลือกตั้งเต็มรูปแบบหรือไม่

เพราะการปรากฏข่าวลักษณะนี้ย่อมไม่เป็นผลดีไม่ว่าอดีตรองนายกฯ ที่ตกเป็นข่าวดัง จะเคยสังกัดอยู่พรรคการเมืองใดก็ตาม

ปริศนาภาพลับ ภาพรัก นอกจากเป็นไปในท่วงทำนองขุดคุ้ย เปิดโปง ยังถูกมองอย่างมีนัยยะด้วยช่วงจังหวะเวลา เสมือนการอุ่นเครื่องก่อนเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึง

เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่ปมชู้สาว แต่ยังหวังผลให้สะเทือนไปถึงการเมืองด้วยหรือไม่?

ยังคงเป็นทนายตั้ม ที่เปิดข้อความในแชตลับ อ้างเป็นการโต้ตอบกันระหว่างอดีตรองนายกฯ กับหญิงสาวที่มีสามีเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว

พร้อมระบุ คดีนี้มาปรึกษาผมตั้งแต่ปีที่แล้ว ผมก็ทำเรื่องฟ้องหย่าภรรยา ฟ้องชู้ที่เป็นอดีตรองนายกฯ ไปแล้ว แต่ปรากฏว่ามีการข่มขู่คุกคามคุณ ก. สามีมาตลอด คุณ ก. เลยอยากให้เรื่องนี้ออกสู่สาธารณะ เพื่อป้องกันตัวหากเป็นอะไร

โดยอยากให้ประชาชนได้รู้พฤติกรรมของนักการเมืองใหญ่คนนี้ จึงขอให้ช่วยดำเนินการให้ เรื่องนี้ค่อนข้างจะเสี่ยงกับผม จึงไม่อาจทำอะไรให้ถูกใจทุกคนได้ ผมเลยต้องทำทุกอย่างด้วยความระมัดระวัง และพยายามให้กระทบพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องให้น้อยที่สุด แต่ทุกคนจะได้รู้แน่นอน

ไม่หมดแค่นั้น ทนายตั้มเปิดเผยคำใบ้ลงในไอจีสตอรี่ เป็นอักษรย่อ ย. ทำให้มีการนำไปเทียบเคียงกับชื่อเต็มอดีตรองนายกฯ บางคน

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงข้อมูลเพิ่มเติมว่า ได้ให้คนใกล้ชิดติดต่อทนายตั้ม และได้คำใบ้มาว่าอดีตรองนายกฯ ท่านนี้อยู่ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

เมื่อเช้าที่ผ่านมา นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ โทร.มาหา และปฏิเสธไม่ใช่ตัวเองแน่นอน เพราะอายุ 80 ปีแล้ว แต่ดูจากรูปและผิวพรรณยังไม่แก่เท่าไร ต้องเดาว่าเป็นใคร

เมื่อมีข้อมูลและคำใบ้ จึงทำให้เป้าหมายการคาดเดาหดแคบลง และพุ่งตรงไปยังพรรคเพื่อไทย

ตรงนี้เองทำให้เกิดข้อหวั่นเกรงว่า ภาพลับอดีตรองนายกฯ อาจถูกนำไปขยายความสร้างความเสียหายด้านศีลธรรมให้กับพรรคการเมือง ในช่วงที่ใกล้จะมีการเลือกตั้งหรือไม่

ปมอื้อฉาวอดีตรองนายกฯ ย. ชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อทนายตั้มเปิดแถลงเล่าเรื่องราวที่มาที่ไปทั้งหมดว่า

เหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงเดือนธันวาคม 2565 ลูกความมีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสแล้ว โดยภรรยาทำงานที่โรงแรมหรูแห่งหนึ่ง

ช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาสังเกตว่าภรรยามีท่าทีเปลี่ยนไป จึงแอบดูพฤติกรรมและดูโทรศัพท์มือถือ ก่อนเห็นข้อความคุยกับชายคนหนึ่งในลักษณะชู้สาว

ที่สำคัญยังมีภาพถ่ายโป๊เปลือยแนบชิดสนิทสนมกันจำนวนมาก

เมื่อเห็นว่าฝ่ายชายเป็นใคร ลูกความยิ่งรู้สึกตกใจมากกว่า เพราะเป็นถึงอดีตรองนายกฯ ผู้มีชื่อเสียงและทุกคนรู้จักดี

ลูกความจึงพูดคุยกับภรรยาและขอหย่า แต่ภรรยาไม่ยอมอ้างยังรักกันอยู่ จึงตัดสินใจมาปรึกษาจะฟ้องหย่าได้หรือไม่ ก่อนทำเรื่องฟ้องคดีแพ่งและฟ้องหย่าไปเมื่อ 30 ธันวาคม 2565

แต่ที่ผ่านมาอดีตรองนายกฯ ยังมีพฤติกรรมข่มเหงลูกความ ด้วยการให้ชายฉกรรจ์ตามไปคอนโดฯ

ที่สำคัญถึงขั้นหลอกนัดเจอบน สน.บางยี่ขัน และมีกลุ่มชายฉกรรจ์มาล้อม พร้อมให้ตำรวจออกไปจากห้อง

ทำให้ลูกความรู้สึกไม่ปลอดภัยและเป็นที่มาของการออกมาเปิดเรื่องราวอันอื้อฉาวทั้งหมด

“เขาเป็นอดีตรองนายกฯ ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงมหาดไทย ชอบตีกอล์ฟ แต่ไม่ชอบสนามกอล์ฟอัลไพน์ มีอายุมากแล้ว เคยเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยเมื่อปี 2551 และพ้นจากสมาชิกเมื่อปี 2561 แล้วมาก่อเหตุปี 2565”

ทนายตั้มกล่าวด้วยว่า ตนเองเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ไปสมัครสมาชิกเพราะเห็นพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคประชาธิปไตย และนโยบายที่ผ่านมาทำได้จริง แต่การออกมาพูดเรื่องนี้ ไม่ทราบว่าพรรคเพื่อไทยเกี่ยวอะไรด้วย เพราะบุคคลนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรค และไม่มีตำแหน่งทางการเมืองแล้ว

แล้วก็เป็นนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ชิงออกมาปฏิเสธ เหตุการณ์ทั้งหมดยืนยันไม่ใช่ตัวเองแน่นอน เพราะอดีตรองนายกฯ มีตั้งหลายคน

ทราบเรื่องนี้หมดทุกอย่างแล้ว กำลังจัดการอยู่ อยากให้พรรคเพื่อไทยขับทนายตั้มออกจากพรรค เพราะทนายตั้มเป็นสมาชิกพรรคอยู่

ทำให้ทนายตั้มโพสต์ข้อความโต้ตอบทันควัน

“อ้าว คุณยงยุทธ ผมยังไม่ได้พูดชื่อคุณเลย ร้อนตัวอะไรหรือเปล่า แล้วจะมาขับผมออกจากพรรคเพื่อไทยทำไม ในเมื่อผมเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่มีความนิยมชมชอบในพรรคเหมือนประชาชนทั่วไปมาหลายปีแล้ว ผมทำผิดอะไรในการให้คำแนะนำกับลูกความ และช่วยปัดเป่าทำความสะอาดพรรค ไม่ให้พรรคมัวหมอง”

ประเด็นร้อนภาพลับ ภาพรักเริ่มถูกผูกโยงเป็นประเด็นการเมือง โดยมีพรรคเพื่อไทยตกเป็นเป้า

อย่างไรก็ตาม นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนปัจจุบันมองว่า ประเด็นที่เกิดขึ้นก็คิดได้เป็นการดิสเครดิตของพรรคการเมือง เพราะเท่าที่ดูข้อเท็จจริงเรื่องนี้เกิดขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว

ที่สำคัญเรื่องที่เกิดขึ้นยังเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อให้บุคคลที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบแล้ว

ถ้าท่านนั้นไม่เกี่ยวข้องกับพรรคและปัจจุบันไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเลย ในมุมข้อกฎหมาย ความรับผิดชอบก็ไม่มี หมายความว่าพรรคเองก็ไม่มีอำนาจและหน้าที่ไปตั้งคณะกรรมการสอบสวน

ที่สำคัญเรื่องเกิดขึ้นในขณะที่บุคคลนั้นไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค จึงยิ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับพรรคแล้วด้วย หัวหน้าพรรคเพื่อไทยระบุ

แต่แล้วในขณะที่ภาพลับอดีตรองนายกฯ กลายเป็นหัวข้อทอล์กออฟเดอะทาวน์ เรื่องก็ส่อคดีพลิก เมื่อมีเอกสารจากตำรวจ สน.บางยี่ขัน แจ้งความคืบหน้าคดีที่อดีตรองนายกฯ แจ้งความเอาผิดหญิงสาวในภาพ รวมถึงผู้เป็นสามี แม่ และพ่อของฝ่ายหญิง ฐานร่วมกันฉ้อโกงสินสอด

เรื่องราวมีอยู่ว่า ก่อนหน้านี้อดีตรองนายกฯ มักพาหญิงสาวไปไหนมาไหนแบบเปิดเผย แนะนำใครต่อใครว่าได้สู่ขอหญิงสาวคนนี้กับพ่อแม่แล้ว กระทั่งเกิดเรื่องราวบางอย่าง ทำให้อดีตรองนายกฯ เข้าแจ้งความเอาผิดหญิงสาวและครอบครัว ฐานร่วมกันฉ้อโกง พร้อมเรียกทรัพย์สินและสินสอดคืน

เบื้องต้นตำรวจสรุปสำนวนสั่งฟ้องทั้ง 4 คนต่ออัยการอาญาตลิ่งชัน เมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมา และศาลสั่งออกหมายจับพ่อของหญิงสาวที่หลบหนีเข้าให้ปากคำ

คดีพลิกหรือไม่? ทนายตั้มชี้แจงว่า เรื่องนี้ทั้งสามีที่เป็นลูกความ รวมถึงภรรยากับแม่ไปให้การกับตำรวจแล้ว แต่พ่อของหญิงสาวไม่ได้ไปให้การ เพราะมีหมายจับคดีเช็คติดตัวอยู่ หากไปพบตำรวจก็โดนจับได้ทันที

ข้ออ้างเรื่องการสู่ขอฝ่ายหญิง อดีตรองนายกฯ ไปกับใคร มีสักขีพยานและหลักฐานขณะทำพิธีหรือไม่ ท้ายสุดคือทรัพย์สินมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท นำไปให้ฝ่ายหญิงเมื่อใด ลูกความผมอยู่ด้วยหรือไม่ ทนายตั้มตั้งคำถามย้อนกลับ

พร้อมยืนยันเรื่องนี้ไม่ใช่กระบวนการตบทรัพย์ และเตรียมดำเนินคดีกลับอดีตรองนายกฯ ฐานแจ้งความเท็จ

เรื่องจบอย่างไร ต้องติดตามดูกันยาวๆ

 

สังคมทั้งในและนอกโลกโซเชียลตั้งข้อสังเกตเรื่องภาพลับอดีตรองนายกฯ กับหญิงสาว ที่โผล่ออกมาในจังหวะเวลาใกล้เคียงกับข่าวคราวที่ไม่ค่อยดีนักของพรรคฝ่ายรัฐบาล

ไม่ว่าการออกมาปูดของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ในประเด็นหลานชายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนจีนตู้ห่าว ซึ่งกำลังตกเป็นข่าวโด่งดัง ในช่วง พล.อ.ประยุทธ์เปิดตัวเข้าเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ

เช่นเดียวกับข่าวรับส่วยของอดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช หน่วยงานกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

โครงการเปลี่ยนป้ายชื่อสถานีรถไฟกลางบางซื่อ เป็นสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ วงเงิน 33 ล้านบาท ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) หน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย

ซึ่งล่าสุดได้มีคำสั่งให้ชะลอโครงการไว้ก่อนเพื่อรอตรวจสอบข้อเท็จจริง หลังเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมอย่างกว้างขวางถึงความสมเหตุสมผลในการเปลี่ยนป้ายชื่อดังกล่าว

ทำให้การเปิดประเด็นข่าวภาพลับ อดีตรองนายกฯ ถูกมองในอีกมุมว่า ปรากฏขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อกลบกระแสข่าวของการเมืองอีกฝั่งหนึ่งหรือไม่

สุดท้ายเรื่องราวทั้งหมดต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริง พยานหลักฐานและข้อกฎหมายเป็นหลัก ไม่ว่ากรณีอดีตรองนายกฯ กลุ่มทุนจีนสีเทา ส่วยกรมอุทยานฯ หรือป้าย 33 ล้าน

ขณะเดียวกันก็ต้องรอดูกันต่อไปจนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง ว่าจะมีประเด็นอื้อฉาวโยงใยถึงบรรดาพรรค “ตัวตึง” ในท่วงทำนองต่างๆ ออกมาอีกหรือไม่ อย่างไร