คนคู่ : การปลอมแปลงของตัวตนที่แปลกปลอม

“คนคู่” เป็นเรื่องสั้นที่อยู่ในหนังสือรวมเรื่องสั้น “เงาแปลกหน้า” ของ “อนิมมาล เล็กสวัสดิ์”

เรื่องสั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มกับหญิงสาวที่พบกันจากการตั้งกระทู้ในพันทิปของหญิงสาวผิดหวังจากความรักว่า “สมัยนี้ยังมีไหม คนที่จะรักกันเพราะตัวตนของอีกคนจริงๆ”

ชายหนุ่มเข้ามาตอบว่า “ขอให้มีเถอะ ถ้าเจอสักคนคงจะรักตลอดไป”

นี่จึงเป็นบทเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่ได้สนทนาพูดคุยกัน ความสัมพันธ์ดำเนินไปอย่างรวดเร็วจนนำไปสู่การนัดพบ

หากมองไปที่หัวข้อของกระทู้และการแสดงความคิดเห็นที่ปรากฏ ย่อมสามารถอนุมานในเบื้องต้นได้ว่า ทั้งชายหนุ่มและหญิงสาวต้องการใครสักคนที่จะรักในตัวตนของตัวเองที่เป็นอยู่

ทั้งคู่เชื่อในตัวตนของตัวเองและพร้อมที่จะรักตัวตนจริงๆ ของอีกฝ่ายอย่างไม่มีเงื่อนไข ทว่า เมื่อเรื่องค่อยๆ ดำเนินต่อไป เรากลับพบเห็นความผิดเพี้ยนที่ค่อยๆ โผล่ขึ้นมา

ในโลกยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารมากมายให้เลือกเสพ การนำเสนอข่าวหรือการแสดงความคิดเห็นของแต่ละฝ่ายล้วนแสดงทีท่าว่าตัวเองรู้กว่า ฉลาดกว่า รวมไปถึงเป็นความจริงมากกว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าการครอบครองความจริงทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น หรือฝ่ายตรงข้าม จนหลงลืมไปว่าความจริงเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ของอะไรบางอย่าง

เช่นเดียวกันกับรูปโปรไฟล์ของชายหนุ่มและหญิงสาวที่ปรากฏในเรื่องสั้น ต่างคนต่างอยากให้อีกฝ่ายชื่นชมและประทับใจเมื่อมองดูรูปถ่ายประจำตัว

“รูปใต้ชื่อเจ้าของความเห็นดังกล่าว เป็นรูปใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มคนหนึ่ง เห็นเป็นเงาคมสันทาบทับอยู่กับพื้นหลังสีขาว นามแฝงของเขาเจนตาเธอดี เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาได้พูดคุยกันทางข้อความแทบทุกวัน” ไม่รู้ว่าชายหนุ่มมีความตั้งใจอย่างไรในการใช้รูปประจำตัวที่หันด้านข้าง แทนที่จะเป็นรูปเผยใบหน้ามุมตรงให้เห็นเด่นชัด การเลือกใช้รูปภาพย่อมผ่านการคัดเลือกแล้วในระดับหนึ่ง นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของแสงเงาที่ “ทาบทับ” ลงบนใบหน้านั้นด้วย

จะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตามแต่ สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้ภาพดูผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง ยังไม่นับการใช้นามแฝงที่ตรงข้ามกับนามจริงของชายหนุ่ม

ขณะเดียวกับภาพของหญิงสาวในเว็บบอร์ดก็ทำให้ชายหนุ่มประทับใจเช่นเดียวกัน “ชายหนุ่มมองรูปที่เธอใช้แทนตัวในเว็บบอร์ดอย่างพึงใจ เป็นรูปสาวน้อยผิวผ่อง ตากลมโตเป็นประกาย ส่งยิ้มสดใส”

ต่อเมื่อได้พบตัวจริงของหญิงสาว ชายหนุ่มกลับตอบคำถามเพื่อนว่า “ก็ผู้หญิงปกตินี่แหละ แต่…ไม่รู้ว่ะ การแต่งตัวแต่งหน้า ท่าทาง…มันดูหลอกๆ ปลอมๆ เหมือนว่าไม่มีอะไรจริงสักอย่าง ผิดหวังว่ะ ว่ากันตรงๆ”

ก่อนที่เพื่อนของชายหนุ่มจะพูดเย้าหยอกว่า “อ้อ…ไม่ดูดีเหมือนรูปที่เห็นในเว็บ ว่างั้นเถอะ”

ประเด็นเรื่องภาพถ่ายที่ไม่เหมือนกับตัวจริงถูกหยิบยกมาพูดคุยกันทั้งสองฝ่าย

หากให้วิเคราะห์เจาะลึกลงไป ในทุกวันนี้เราก็อาจจะพบเรื่องราวมากมายที่ถูกสร้างเสมือนว่าคือความจริง สิ่งที่เราได้เห็นผ่านโลกโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นตัวอักษรที่ปรากฏ ภาพที่ถูกนำเสนอ คลิปวิดีโอหรือการแสดงออกในรูปแบบต่างๆ

แล้วเราก็เชื่อว่าสิ่งที่ได้รับรู้คือความจริง เรากำลังเสพความเป็นจริงผ่านทางสายตา เราหลงลืมไปว่า ภายใต้ภาพถ่ายเป็นร้อยเป็นพัน มีเพียงไม่กี่ภาพที่ถูกหยิบขึ้นมาให้ได้เห็น ถูกคัดสรรและสร้างความจริงจากมุมมองของผู้ทำการเลือก

แน่นอนว่า เรื่องพื้นฐานง่ายๆ คือ เมื่อเราอยากให้คนอื่นรับรู้ว่าเราเป็นอย่างไร เราก็ป้อนเรื่องราวหรือคอนเทนต์ต่างๆ ลงไปทีละเล็กละน้อยวันแล้ววันเล่าในสเตตัส

ประเด็นนี้ไม่ได้หนีไปจากเรื่องรูปประจำตัวของทั้งสองคนเลย

เป็นเรื่องปกติ การนัดพบกันของหญิงสาวและชายหนุ่มในครั้งแรกย่อมอยากให้เกิดความประทับใจ การจะได้พบกันทำให้ทั้งคู่ตื่นเต้น

“หญิงสาวจำได้ ชายหนุ่มเคยพูดว่าเขาชอบผู้หญิงผิวขาวอมชมพู เธอจึงจัดการแช่ตัวในน้ำยาเปลี่ยนสีผิวตั้งแต่เมื่อคืน เช้านี้เธอเลือกครีมอาบน้ำสูตรที่จะช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื่น ต่อมาก็ฉีดน้ำหอมกลิ่นคล้ายกุหลาบเจือกลิ่นส้มจางๆ ซ่อนความเปรี้ยว น่าค้นหาไว้ในความหอมหวาน และเพื่อเพิ่มความมั่นใจเธอก็บรรจงลงครีมทาตัวเนื้อหน้าประกายมุกอีกครั้ง ให้ผิวดูเนียนเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น”

พฤติกรรมของหญิงสาวช่างขัดแย้งกับกระทู้ที่เธอตั้งว่า “สมัยนี้ยังมีไหม คนที่จะรักกันเพราะตัวตนของอีกคนจริงๆ”

ขณะที่ฝ่ายชายหนุ่มก็อยากสร้างความประทับใจให้หญิงสาวไม่แตกต่างกัน ด้วยความเป็นบุรุษเพศเขาจึงลงทุนเพื่อให้เกิดความประทับใจในแรกพบ

“เขาเดินเข้าร้านเช่าเครื่องแต่งกายหรูครบวงจรที่ขณะนี้มีสาขาผลิบานทั่วมหานคร ร้านเหล่านี้มีผลิตภัณฑ์ไว้บริการตั้งแต่เสื้อเชิ้ตและกางเกงขายาวแบรนด์เนมรีดเรียบกริบ เน็กไทผ้าไหม เข็มขัด รองเท้าสะอาดเป็นมัน ไปจนถึงนาฬิกาข้อมือ ปากกา และกระเป๋าสตางค์ มีแม้กระทั่งสมุดบัญชีธนาคารที่จะทำเป็นชื่อลูกค้า พร้อมตัวเลขสูงลิบ”

การนัดพบกันกลายเป็นสิ่งสำคัญและเรื่องใหญ่โต ต่างคนต่างที่จะมัดใจอีกฝ่าย

ทว่า ผลลัพธ์กลับไม่ได้เป็นไปตามที่ทั้งคู่คาดหวัง

“ก็ไม่มีอะไรต่างไปจากครั้งก่อนๆ สุดท้าย…ผู้ชายทั้งโลกก็เหมือนกันหมด”

หรือที่ชายหนุ่มบอกว่า

“ผิวกายที่ขาวสว่างจนดูเรื่อเรืองในแสงไฟทำเอาชายหนุ่มเริ่มรู้สึกสะกิดใจตั้งแต่ไม่กี่นาทีแรก ผิวของเธอคล้ายจะนวลเนียนน่าสัมผัส แต่ก็ดูแบนไร้มิติอย่างประหลาด เพียงไม่กี่อึดใจ เขาก็ตัดสินได้ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะการฉีดสารเคมีให้ขาวถาวร ก็ต้องเป็นครีมเคลือบผิวอะไรสักอย่างแน่นอน”

อนิมมาล เล็กสวัสดิ์ ค่อยๆ เล่าเรื่องอย่างเป็นลำดับ สลับกับมุมมองของทั้งชายและหญิง โดยใช้วิธีการเผยให้เห็นการล้อกันไปในแต่ละเหตุการณ์อยู่เป็นระยะ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่หญิงสาวตัดสินชายหนุ่มว่า

“มนุษย์เงินเดือนที่ไหนจะมีปัญญาหาข้าวของแพงๆ เหล่านั้นมาแขวนตามตัว”

ชายหนุ่มก็ไม่รีรอที่จะตัดสินหญิงสาวเช่นเดียวกันว่า “มนุษย์เงินเดือนที่ไหนจะมีเวลาและกำลังทรัพย์ที่จะเอาใจใส่ดูแลรูปร่างผิวพรรณจริงของตัวให้งามสมบูรณ์แบบทุกกระเบียดนิ้ว”

หรือตอนที่เพื่อนของทั้งสองเย้าแหย่ “ตกลงว่าก็ยังต้องหาต่อไปสินะ ชายในฝันที่จะรักเธอแม้ในยามหน้าโล้นน่ะ” และ “ตกลงว่าก็ยังต้องหาต่อไปสินะ สาวในฝันที่จะรักเอ็งแม้ในยามไร้ข้าวสารกรอกหม้อน่ะ”

แม้เนื้อหาในเรื่องสั้นของอนิมมาล เล็กสวัสดิ์ จะไม่ใช่ประเด็นที่แปลกใหม่แต่อย่างไร เพราะเรื่องราวเช่นนี้ปรากฏให้เห็นตามเนื้อข่าวอยู่เป็นระยะ

แต่การเล่าด้วยมุมมองที่แตกต่างของตัวละครก็ช่วยเพิ่มสีสันและสร้างมิติให้กับเรื่องได้เป็นอย่างดี

นอกจากนั้น ยังเป็นการเสียดสียุคสมัยในเรื่องความจริงและความลวง รวมถึงการสร้างพื้นที่และตัวตนของตัวเองขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์บางอย่าง

ประเด็นหนึ่งที่ถือว่าเฉียบขาดและแหลมคมคือ การให้ชายหนุ่มลงทุนเช่าเครื่องแต่งกายเพื่อไปพบกับหญิงสาว

แต่หญิงสาวกลับรู้เท่าทันและบอกว่า “ที่เลวร้ายคือ ทั้งนาฬิกาข้อมือ ทั้งเข็มขัด ล้วนเป็นของปลอมที่ทำเลียนแบบของแบรนด์เนมอย่างลวกๆ นั่นแสดงว่าร้านที่เขาเลือกเช่ามาจะต้องเป็นร้านเกรดล่าง ไร้คุณภาพ มิฉะนั้นเขาก็มักง่ายเสียจนไม่คิดจะเช่ามาให้ครบทุกชิ้น หรือที่แย่ยิ่งกว่าคือเขาช่างไร้รสนิยมและสุนทรียะเสียจริงแยกของจริงกับของปลอมออกจากกันไม่ได้ ยังไม่นับรวมรถยุโรปย้อมแมวนั่น ดูภายนอกก็สีดำสวยเป็นมันปลาบจับตาดีอยู่ แต่รอยเปื้อนเป็นคราบที่เบาะนั่ง ไม่อาจรอดพ้นสายตาเธอไปได้ เช่นเดียวกับละอองฝุ่นที่ฟุ้งกระจายให้เห็นยิบๆ ยามทิ้งตัวลงนั่ง”

พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ชายหนุ่มนั้นอัตคัดขัดสนจนต้องเช่าของปลอมเพื่อไปหลอกหญิงสาวว่านี่คือของจริง

บาดลึก เย้ยหยัน และแสบสันต์เหลือเกิน