จากมารดา “ธงทอง จันทรางศุ” กับงานเขียน “แม่คุยกับลูก” : ยายแม้น

แม่คุยกับลูก (8)

เมื่อพูดถึงคนเก่าคนแก่ของคุณยายไปแล้วถึง 2 คน คือฮะกับแปง แม่ก็เลยอดคิดถึงอีกคนหนึ่งขึ้นมาไม่ได้

สำหรับบรรดาพี่น้องของแม่ เราทุกคนมักจะพูดถึงยายแปงควบคู่ไปกับยายแม้น เหมือนพริกไทยที่คู่กันไปกับเกลือ

พูดอย่างนี้ดูออกจะเป็นฝรั่งไปหน่อย แต่ก็อยากจะเปรียบให้เห็นชัดๆ ว่ายายแม้นของเราในที่นี้นั้นแกเป็นแต่เพียงเกลือจืด

แม้นนั้นแม่มาเห็นเอาเมื่อตอนที่ไม่ใช่สาวเสียแล้ว แต่เค้าโครงหน้านั้นทำให้มองเห็นภาพว่าเมื่อสมัยยังสาวๆ นั้นจัดว่าเป็นคนสวยคนหนึ่งทีเดียว

แม้นมีรูปร่างท้วม ผิวคล้ำ ตาคม ปาก จมูก รับกันได้ส่วนสัด แล้วก็มีผมหยักศกซึ่งดัดเป็นทรงกระทุ่มมาตลอดชีวิตของแม้น

หน้าของแม้นเข้ม คม เสียจนคนบางคนนำมารำพึงซึ่งก็ฟังไม่ออกว่าเป็นการนินทาหรือสรรเสริญว่า

“หน้าน้าแม้นนี่ ถ้าใครบอกว่าเป็นคนเค็มจัดจะเชื่อ แต่ทำไมถึงได้…”

เพราะโดยแท้จริงแล้ว แม้นเป็นคนพูดน้อย ไม่ใคร่มีปากมีเสียงกับใครโดยเฉพาะกับแปงซึ่งเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกัน เห็นกันมาตั้งแต่สาวก็ย่อมต้องมีเรื่องถูกใจกันบ้าง ไม่ถูกใจบ้างเป็นของธรรมดา

แต่ครั้งใดก็ตามที่คนทั้งสองเกิดขัดใจกัน เรามักจะได้ยินกันก็แต่เสียงของแปงซึ่งค่อนข้างดังกว่าปกติแล้วก็พูดยืด พูดยาว

นานๆ ครั้งก็จะได้ยินเสียงอ่อยๆ ของแม้นขัดขึ้นมาว่า

“โธ่! แปงก็…”

เมื่อตอนที่แม่ยังเด็กๆ คุณยายเล่าให้ฟังว่ายายแม้นนั้นเป็นคนอาภัพ มีสามี สามีก็ทิ้ง มีลูกชายติดมาคนหนึ่งชื่อมุ่ย

ยายแม้นก็หอบเอามาอยู่กับคุณยายด้วย อาศัยว่าเป็นคนมีรสมือดี คุณยายก็เลยมอบหน้าที่ให้เป็นแม่ครัว

แล้วแม้นก็เลยทำหน้าที่นี้มาโดยตลอด จนกระทั่งคุณตาคุณยายไปรับราชการตามต่างจังหวัดแม้นก็ไปกับเรา

ตอนที่คุณตาคุณยายไปอยู่ที่พิษณุโลก แม่จำได้ว่ามีบรรดาญาติผู้ใหญ่ตามขึ้นไปเยี่ยมและพักอยู่กับเราบ่อยๆ

แขกทุกคนที่เคยไปค้างที่บ้านมักจะเอ่ยปากชม เพราะติดใจในรสฝีมือปรุงอาหารของแม่ครัวบ้านเราเสมอ

เราไปอยู่ที่พิษณุโลกเสียนานหลายปี

มุ่ยลูกชายของแม้นไปโตเป็นหนุ่มจนมีเมียก็ที่พิษณุโลกนี่แหละ

ตอนนั้น แม่จำได้ว่ามุ่ยทำงานอยู่ที่รถไฟ มุ่ยโตขึ้นเป็นหนุ่มรูปหล่อ รูปร่างสูงขาว หน้าตาคมเข้มเหมือนแม่ แล้วเมียของมุ่ยเองก็เป็นสาวสวย ผิวขาว ผมออกแดงๆ หน้าตาสะสวยสมกัน เมียของมุ่ยนี้มีชื่อว่าเฟื้อ

เฟื้อเข้ามาอยู่ในบ้านของเราด้วยในฐานะที่เป็นลูกสะใภ้ของแม้น

ในตอนนั้นแม่ยังเด็กมาก ไม่เข้าใจเลยว่าเฟื้อซึ่งมีหน้าตาสะสวย พูดจาเพราะกับทุกๆ คนในบ้าน แต่เหตุใดเวลาเมื่อปฏิบัติกับแม้นจึงไม่เหมือนกับที่เขาทำกับคนอื่นๆ

เวลาเฟื้อพูดกับแม้น เฟื้อจะแสดงกิริยาดูหมิ่นเหยียดหยาม พูดจากระโชกโฮกฮาก หน้าบึ้งตึงจนกระทั่งหน้าตาสวยๆ ของเขานั้นหายสวยไปหมด

ส่วนแม้นนั้นไม่เคยโต้ตอบ เดินง้อมๆ ไปเก็บเสื้อผ้าของลูกชาย ลูกสะใภ้ออกมาซักให้ แม้นซักให้แม้กระทั่งผ้าถุงของลูกสะใภ้

วันหนึ่งแม่อดรนทนไม่ได้ ออกปากถามยายแม้นออกไปตามตรงว่า ทำไมเฟื้อเขาจึงทำเช่นนั้นกับแม้น

แม้นถอนใจแล้วตอบแม่ว่า

“ก็เพราะแม้นมันจน”

“จนแล้วยังไง” แม่ชักเดือดแทนแม้น “จนแล้วอยากมาเป็นเมียมุ่ยทำไม”

“ก็ไม่รู้ว่าเขาตกลงกับอ้ายหนูมันยังไง” แม้นเรียกมุ่ยว่า “อ้ายหนู” มาตั้งแต่เด็กจนโต

“แล้วยังไงล่ะแม้น” แม่ซักอีก

“เขามาเห็นว่าแม้นจนแล้วก็เป็นแค่แม่ครัว” แม้นพูดเสียงอ่อย หน้าตาไม่มีความสุข “เขาก็เลยโกรธ”

เฟื้อออกฤทธิ์เอากับแม้นต่างๆ นานา บางครั้งไม่พอใจแม่ผัวมากๆ เข้าก็ทำเป็นผีเข้าเสียทีหนึ่ง

วิธีที่ผีเข้าของเฟื้อก็แปลก เฟื้อจะอยู่แต่ในห้อง คอยตะโกนด่าแม้นซึ่งเดินเข้าเดินออกหาข้าวน้ำไปส่งด้วยความเป็นห่วง

แล้วผีที่มาเข้า นัยว่าเป็นผีผู้ชาย เฟื้อก็เลยเอาเสื้อผ้าของมุ่ยมาใส่เพื่อให้ดูสมจริง

แม่เคยแอบดู ตอนนั้นกลัวก็กลัว อยากรู้ก็อยาก นึกประหลาดใจอยู่อย่างเดียวว่าถึงเฟื้อจะแต่งตัวเป็นผู้ชาย แต่สุ้มเสียงที่พูดออกมาก็ยังคงเป็นเสียงของเฟื้ออยู่ดีนั่นแหละ

หลายวันเข้า คุณยายก็ต้องลงมาจัดการเสียทีหนึ่ง ความจริงคุณยายเองก็ไม่ได้ไปทำอะไร แม่จำได้ว่าพอคุณยายเดินเข้าไปในห้องที่เฟื้อกำลังจะอาละวาดอยู่ คุณยายก็เข้าไปนั่งตรงหน้าของเฟื้อ เฟื้อก็จะลงนั่งพับเพียบเรียบร้อย หลบตาลงต่ำไม่กล้าสบตาคุณยาย พูดจากันอยู่ 2-3 ประโยคแล้วผีก็ออก

เฟื้อมาบอกกับใครๆ ภายหลังว่าคุณยายมีพระดี ผีก็เลยกลัว

แต่แม่มาคิดดูภายหลังที่เป็นผู้ใหญ่แล้วว่า ที่ผีรีบออกนั้นอาจจะเป็นเพราะประการแรก ผีอาจจะเหนื่อยหลังจากที่ได้ด่าแม่ผัวมา 3 วัน 3 คืนแล้ว

ส่วนข้อหลังนั้นเป็นเพราะว่าใครๆ ก็รู้ว่าคุณยายนั้นไม่ใช่บุคคลที่ใครจะมาหลอกได้ง่ายๆ เลย

ทุกคนในบ้านไม่มีใครชอบเฟื้อ ทุกคนพากันสงสารแม้น แต่ไม่เข้าใจว่าแม้นทำอย่างนั้นเพื่ออะไร

มีคุณยายคนเดียวไม่เคยพูดถึงปัญหานี้ แต่แม่คิดว่าคุณยายรู้ คุณยายเข้าใจเหตุผลของแม้น

คุณยายมีลูกมาตั้งแปดคน มีหรือจะไม่เข้าใจหัวอกของคนเป็นแม่อย่างแม้น

มุ่ยเองก็คงลำบากใจปัญหาระหว่างเมียกับแม่ ดังนั้น ในเวลาต่อมา เมื่อมุ่ยมีสิทธิ์ได้บ้านพักของรถไฟ มุ่ยก็เลยพาเมียแยกออกไปอยู่กันต่างหาก ท่ามกลางความโล่งใจของทุกๆ คน

เมื่อมุ่ยกับเฟื้อย้ายออกไปแล้วมุ่ยก็ยังแวะมาหาแม้นบ่อยๆ ไม่ได้แวะมาทำไมหรอก แวะมาขอสตางค์นั่นแหละ แม้นก็เจียดให้ทุกครั้งไป ถ้าบ่อยนักเงินขาดมือ แม้นก็มาขอเบิกไปจากคุณยาย ไม่เคยที่มุ่ยจะกลับไปมือเปล่า

มุ่ยย้ายไปได้ไม่นาน เฟื้อก็ตั้งท้อง ใครต่อใครพูดกันว่าเด็กคงจะออกมาสวยเพราะพ่อแม่สวยทั้งคู่

ในที่สุดวันที่ทุกๆ คนรอคอยก็มาถึง เฟื้อคลอดลูกออกมาเป็นผู้หญิงหน้าตาน่าเกลียด ปากแหว่งขึ้นไปจนจรดจมูกซึ่งแบนราบ คนที่ไปเยี่ยมกลับมาเล่าให้ฟังว่าเฟื้อร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจ

แม่คิดถึงหน้าตาหล่อเหลาของมุ่ย จมูกโด่งราวกับฝรั่ง เฟื้อเล่าก็หน้าตาสวยสะอ้าน ผมแดงราวกับลูกครึ่ง ใครเห็นก็มักจะชมว่าสวยสมกัน

แล้วก็นึกถึงฝีปากจัดจ้านที่เอาแต่นั่งถากถาง ประชดประชันเสียดสีแม่ผัวอยู่ได้ทั้งวันเพื่อชดเชยกับความผิดหวังของตัวเอง

เมื่อมานั่งคิดถึงเรื่องในตอนนี้แล้วแม่ก็เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องของกรรมโดยแท้

หลวงพ่อท่านเคยพูดไว้ว่า “ผล” นั่นย่อมต้องเนื่องมาจาก “เหตุ” ทั้งสิ้น

ถ้าเราปลูกมะม่วงไว้ เราย่อมต้องได้ผลมะม่วงมาเป็นสิ่งตอบแทน ที่จะให้มะม่วงออกผลมาเป็นเงาะหรือทุเรียนนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้

ถ้าเรายังไม่ได้ศึกษาธรรมะ เราอาจจะพูดเรื่อยเปื่อยไป ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นก็มักจะโทษไปว่าเป็นเวรเป็นกรรม

แต่โดยแท้จริงแล้ว เรื่องของกรรมนี้เป็นเรื่องจริงเสียยิ่งกว่าจริง เพราะกรรมในที่นี้ในทางของพุทธศาสนาแล้วหมายถึงการกระทำจ้ะ

ถ้าเราทำกรรมดีไว้ ย่อมได้รับผลดีตอบสนอง ในทำนองเดียวกัน ถ้าเราทำกรรมชั่วไว้ ก็อย่าคิดว่าจะหนีผลกรรมอันนั้นไปได้พ้น

เรื่องของกรรมนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อนและผูกกันไปดังลูกโซ่ มันโยงมาจากอดีตกาล มาสู่ปัจจุบันและย่อมเกี่ยวเนื่องไปสู่อนาคตด้วย

เราไม่สามารถจะแก้ตัวกับการกระทำของตัวเราเองในอดีตได้ แต่ถ้าเราทำดีที่สุดในปัจจุบันก็เท่ากับเราสร้างอนาคตที่ดีไว้แล้วสำหรับตัวเอง

แม่อยากจะขอยกโคลงขึ้นบทหนึ่งซึ่งเคยเขียนไว้นานมาแล้ว เพื่อเป็นเครื่องเตือนความจำของลูก หวังว่าลูกคงจะพอจำได้

กรรมใดใครก่อสร้าง สุดรู้

หนใดใคร่ย้อนดู ไป่ได้

ใครสร้างใครสมตู ต่างรับ เอานา

กรรมลิขิตชีวิตไซร้ แต่งให้เป็นเอง

ถ้าแม่จะจบลงแต่เพียงแค่นี้ ลูกก็อาจจะอยากรู้ต่อว่าชีวิตของยายแม้นจบลงในสภาพใด

ยายแม้นติดตามคุณตาคุณยายกลับเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ ทำหน้าที่เป็นแม่ครัวฝีมือดีประจำบ้านเรามาอีกนานนับสิบปี

มาระยะหลังๆ ที่แก่ตัวเข้า แม้นเริ่มมีสุขภาพไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องเข่า ผลสุดท้ายก็แทบจะเดินไปไหนมาไหนไม่ได้ คุณยายจึงให้พัก นั่งๆ นอนๆ อยู่กับบ้าน ไม่ต้องทำงานเหมือนแต่ก่อน

มาภายหลังเมื่อแม่แต่งงานไปและแยกบ้านออกมา มีหน่าอายุได้สักขวบเศษๆ คุณยายก็เล่าว่ามุ่ยลูกชายของแม้นซึ่งตอนนั้นย้ายไปรับราชการอยู่ทางภาคเหนือเขียนจดหมายมาอยากจะขอรับเอาแม่ขึ้นไปอยู่ด้วย

คุณยายคิดว่าในตอนนั้นมุ่ยก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากแล้ว ฐานะการงานก็คงพอที่จะให้ความอุปการะแม่ของตนเองได้ตามสมควร ทั้งคุณยายก็อยากจะให้มุ่ยได้มีโอกาสสนองคุณแม่ของตัวเองบ้าง จึงได้ตอบตกลงไป

มุ่ยลงมารับแม้นขึ้นไปอยู่ด้วยสักปีเศษๆ ก็เขียนจดหมายมาบอกว่าแม้นได้เสียชีวิตไปแล้ว หลังจากเจ็บออดๆ แอดๆ อยู่พักหนึ่ง โดยที่มีหลานสาวพิการคนที่แม้นเคยไปช่วยประคบประหงมอยู่พักหนึ่งตอนที่แม่เขาเองกำลังเสียอกเสียใจที่ออกลูกพิการมาจนไม่อยากดูดำดูดีนั่นแหละเป็นคนคอยดูแลจนกระทั่งแม้นหมดลม

หลังจากที่ชีวิตของแม้นได้ปิดฉากลงไปแล้ว เราก็ไม่ได้รับการติดต่อจากครอบครัวนั้นอีกเลยจนกระทั่งทุกวันนี้