ความสุขบนถนนหมายเลข 6 ของกัมพูชา (วันที่สี่) อั้ม พัชราภา และนุสรา

วันนี้ตื่นแต่เช้า เก็บกระเป๋า แพ็กทุกอย่าง ได้เวลาแจ้งที่ฟรอนต์ของโรงแรมว่า “เช็กเอาต์” เคลียร์บิลที่โรงแรมเสร็จ เดินมาถึงรถ…ยางแบน

เจ้าสองสูบสีแดง มีล้อเป็นซี่ลวด หากเป็นซี่ลวดแบบปัจจุบันมันก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้ยางใน แต่มันเป็นล้อซี่ลวดแบบโบราณ มันจึงต้องทำงานร่วมกับยางใน ซึ่งล้อที่ใช้ยางในมันจะมีปัญหายุ่งยากอยู่ 2 อย่างคือ

1. มันจะต้องถอดล้อ แงะยางออกจากล้อ เพื่อจะเปลี่ยนยางใน หรือปะยางในก็ตาม และถึงแม้ว่ากัมพูชาจะมีร้านปะยางมอเตอร์ไซค์อยู่ทุกหัวระแหง แม้แต่ตรงข้ามโรงแรมที่เราพักก็มีอยู่ร้านหนึ่ง

ร้านเหล่านี้จะสามารถถอดล้อ แงะยางออกมาเพื่อปะหรือจะเปลี่ยนยางในก็ได้ แต่ตอนจังหวะที่จะงัดกลับเข้าไป คนไม่มีประสบการณ์กับยางบิ๊กไบก์ จะไม่สามารถเอามันเข้าไปได้โดยง่าย และส่วนใหญ่จะทำให้ยางในขาด และเมื่อยางในขาด สถานการณ์ก็จะกลับมาที่เดิมตอนเริ่มต้น…หรืออาจแย่กว่า

2. ยางในเบอร์ที่จะตรงกับที่รถเราใช้อยู่มันจะหาได้ยากมาก ถึงยากที่สุดในกัมพูชา เพราะประเทศเขาไม่ได้นิยมซื้อบิ๊กไบก์กันเหมือนบ้านเรา เมื่อมีคนซื้อมาน้อย ร้านซ่อมก็น้อย อะไหล่ก็น้อยไปอีก

และนี่คือปัญหาความยุ่งยากของระบบล้อซี่ลวดแบบโบราณ ที่ต้องใช้คู่กับยางใน

แต่เราทำการบ้านมาก่อนแล้ว ทำมาเป็นอย่างดี…อาจจะดีเกินไป ก่อนออกเดินทางจึงได้ดัดแปลงล้อซี่ลวดด้วยการไปพันเทปข้างในล้อเพื่อให้มัน เก็บลมได้ โดยไม่ต้องใช้ยางใน ด้วยวิธีนี้ เมื่อยางแบน เราสามารถซ่อมได้ด้วยตัวเอง เอาตัวรอดจากสถานการณ์ไม่พึงประสงค์ได้โดยง่าย เครื่องมืออุด เครื่องสูบลมไฟฟ้า เราเอามาด้วยหมด แต่ก็นั่นแหละ การเตรียมการคงจะดีเกินไป เพราะปัญหาซึมครั้งนี้ มันเกิดจากเทปที่พันไว้นั่นเอง…

ไม่เป็นไร มันเพียงซึมเท่านั้น และเราก็เอาเครื่องสูบลมไฟฟ้ามาด้วย ใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีทุกอย่างก็เรียบร้อย พร้อมเดินทาง

ยกเว้นใจ…ใจไม่พร้อม

ตามความตั้งใจ วันนี้ออกจากโรงแรมมุ่งหน้าสู่ถนนหมายเลข 6 เลี้ยวขวามุ่งสู่กรุงพนมเปญ เมื่อคืนทำการบ้านไว้แล้วเป็นอย่างดี ศึกษาเส้นทางมาพร้อม สภาพอากาศอาจมีฝน ชุดก็พร้อม นุสราอยู่ข้างหลังก็พร้อม…ความตั้งใจ ไม่พร้อม!

เสียมเรียบอยู่ห่างชายแดนไทยไม่ถึง 200 ก.ม. ส่วนพนมเปญนั้นอยู่ห่างออกไปอีกเท่าตัว…บอกตัวเอง “อย่าไปคิดมาก เรามาผจญภัย…ลุย”

ตกลงกับตัวเองเสร็จ ก็มุ่งหน้าเข้าสู่ถนนหมายเลข 6 เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้ากลับประเทศไทย

ขี่ออกจากเมืองในยามเช้าตรู่ มีรถจำนวนมากสวนไปเพื่อมุ่งหน้าเข้าเมืองเสียมเรียบ ก็คงเหมือนเมืองใหญ่ๆ ทุกแห่งในโลกละมั้ง ที่มีอัตราการจ้างงานสูงกว่าการทำงานนอกเมือง ภาคการท่องเที่ยวทำให้คนมีรายได้มากกว่าภาคการเกษตร เจ้าสองสูบสีแดงเสียงเพราะ วิ่งขาออกเมือง รถก็ไม่มากนัก วิ่งสบายหายห่วง รถน้อยลงเรื่อยๆ ตามระยะทางที่ไกลออกมาจากเมือง แล้วก็มาเจอรถ 18 ล้อวิ่งอยู่ข้างหน้าด้วยความเร็วประมาณ 80 ก.ม./ช.ม. …สองสูบเสียงเพราะวิ่งเร็วกว่านั้นอยู่นิดหน่อย ก็เริ่มคำนวณการแซง…มีรถสวนมา

ไม่เป็นไร รอก่อน เราไม่รีบ…สักพัก กับความพยายามแซงครั้งที่สอง…เริ่มคำนวณการแซง…มีรถสวนมาอีก

ไม่เป็นไร รอก่อนอีก เราไม่รีบ…สักพัก กับความพยายามแซงครั้งที่สาม เจ้าฮอนด้าดรีม ร้อยกว่าซีซี ยางเล็กกระจิ๋ว เอาบังลมออก ก็พุ่งแซงซ้ายเจ้าสองสูบไป และแซง 18 ล้อไปด้วยเลยในคราวเดียวกัน

แซงซ้ายน่ะ มันไม่ใช่ปัญหาเพราะกัมพูชาวิ่งชิดขวา แซงซ้ายก็ถูกต้องอยู่แล้ว แต่ปัญหามันคือ มันวิ่งด้วยความเร็วขนาดนั้น มากกว่าเราขนาดนั้นได้ยังไงวะ

พร้อมกับความรู้สึกเจ็บจี๊ดในใจ…

มือกำคลัตช์ ขาสับเกียร์ลง ข้อมือบิดคันเร่ง สายคันเร่งส่งคำสั่งไปที่เครื่องยนต์สองสูบ 865 ซีซี แรงบิดมหาศาลถูกส่งลงไปที่ล้อหลังโดยทันที เสียงคำรามเพราะพริ้ง ดุดัน ถ้าเจ้าสองสูบพูดได้ ตอนนี้มันคงจะพูดว่า “ให้มันรู้…ใครเป็นใคร” ว่าแล้วก็พุ่งทะยานผ่าน 18 ล้อไปอย่างงดงาม ไม่ต้องมีลุ้น ฮอนด้าดรีมปรากฏอยู่ข้างหน้า…เครื่องยนต์ยังคงส่งเสียงคำราม และเจ้าสองสูบสีแดงพุ่งทะยานอย่างต่อเนื่อง

นุสรารับรู้ได้ถึงความเจ็บจี๊ดในใจของผม และรับรู้ความไม่พอใจของสองสูบสีแดงผ่านเสียงเครื่องยนต์ดุดันและการพุ่งทะยานไปข้างหน้า ทิ้งความรื่นรมย์ของชีวิตไว้เบื้องหลัง…เปลี่ยนเป็นทะยานอยาก

อยากจะครอบครองความลำพองที่รออยู่เบื้องหน้าฮอนด้าดรีม…

เธอกระซิบด้วยเสียงเพราะพริ้งของเธอผ่านไมโครโฟนในหมวกกันน็อกของเธอ เข้าสู่ลำโพงในหมวกกันน็อกของผม

“ไม่เป็นไรหรอก…เราไม่รีบ…เช้านี้อากาศดีเนาะ…”

เมื่อเช้าถามนุสราว่าอยากจะบินกลับไหม เจ้าหล่อนบอกว่า “ฉันจะกลับกับเธอ”

ถ้าถามนุสราว่า จะไปรถยนต์ หรือจะไปมอเตอร์ไซค์

เธอจะเลือกรถยนต์แทบทุกครั้ง

แต่ถึงกระนั้น นุสราก็ไม่ใช่คนกลัวการเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ เธอเป็นสาวสวยชาวกรุง (เทพ) ที่มีความรู้สึกที่ดีต่อมอเตอร์ไซค์

ก็คงเป็นเพราะเธอมีความคุ้นเคยกับมอเตอร์ไซค์มาตั้งแต่เด็ก

คุณพ่อของเธอใช้เวสป้าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต พี่ชายของเธอก็ครอบครองคาวาซากิ จีทีโอ และเธอก็ยืนข้างหน้าเวสป้าบ้าง ซ้อนข้างหลังคาวาซากิบ้าง เพื่อเดินทางไปโรงเรียน และไปไหนต่อไหนในกรุงเทพฯ มาตั้งแต่เด็กจนโต

อันที่จริงเธอชอบซะด้วย เธอบอกว่า “มันเร็วดี ไม่ต้องรอรถติด”

ก็เพราะไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะรักที่จะอยู่บนเบาะหลังมอเตอร์ไซค์วันละ 6-8 ชั่วโมง…ไม่ใช่การเดินทางในฝันของอั้ม พัชราภาแน่ๆ

มีสองสูบสีแดงเสียงเพราะอยู่ในมือ มีนุสราสาวแว้นเกาะเอวอยู่ข้างหลัง นึกไม่ออกว่าสวรรค์จะดีไปกว่านี้ได้อย่างไร

ว่าแล้วก็เบาเครื่องยนต์ลง

ความรื่นรมย์บังเกิด มากับรอยยิ้มบนใบหน้า และไฟท้ายของฮอนด้าดรีม ที่ค่อยๆ ลับตาไป…

มีความสุขอยู่บนถนนหมายเลข 6 ของกัมพูชา

เพลง “เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม” ของบิลลี่ โอแกน ผุดขึ้นมาในใจ…

“นุสราให้ใจจริงแท้ และมีความรักให้…เอาอั้ม พัชราภา มาแลกก็ไม่ยอม…”