“สามทหาร”คัมแบ็ก?! หม่อมอุ๋ย แฉบิ๊กทหารดันตั้งบรรษัทน้ำมัน พ้อ สนช.ทหารพรึ่บ คงดันสำเร็จ

ชื่อ “สามทหาร” กลายเป็นประเด็นอีกครั้งจาก “ข่าวแฉ” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ที่ออกโรงร่างจดหมายเปิดผนึกถึงสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อคัดค้านการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (NOC) ก่อนที่ สนช.จะมีการพิจารณาร่างพ.ร.บ.ปิโตรเลียม 2 ฉบับ ที่มีการบรรจุเรื่องของการตั้ง NOC ไว้ในบทเฉพาะกาล ในวันที่ 30 มี.ค. ที่จะถึงนี้

โดยในจดหมายตอนหนึ่งระบุว่า

เคยเห็นข้อความในร่างที่มีผู้เตรียมการเพื่อเสนอจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ระบุว่า “บรรษัทน้ำมันแห่งชาติเป็นผู้ถือสิทธิ์ในทรัพยากรปิโตรเลียมทุกชนิดของประเทศ” และ “ในระยะเริ่มต้นของการดำเนินงาน ให้กรมพลังงานทหารเป็นหน่วยงานที่บริหารบรรษัทน้ำมันแห่งชาติไปก่อน”

“หากเป็นไปตามร่างดังกล่าว กิจการน้ำมันของประเทศจะถอยหลังไป จำได้ว่าเมื่อ 50 ปีก่อน ขณะที่กรมพลังงานดูแลกิจการน้ำมัน เรามีน้ำมัน “สามทหาร” ของไทยที่มีส่วนการตลาดน้อยมาก และถูกครอบงำโดยบริษัทน้ำมันต่างชาติเป็นสำคัญ ต่อมาเราก่อตั้งการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เป็นรัฐวิสาหกิจทำหน้าที่เสมือนบรรษัทน้ำมันแห่งชาติ ปรากฏว่าพัฒนามาได้ดีอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 เหนือกว่าบริษัทน้ำมันต่างชาติทั้งหมด” 

ภาพจาก https://www.museumsiam.org/mdn-detail.php?MDNID=243

“สามทหาร” มาจากไหน

ชื่อ “สามทหาร” เป็นชื่อที่เคยใช้เรียกสถานีบริการน้ำมัน (ปั๊ม) ในอดีตช่วงยุคสมัย จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเมื่อปี 2557 ช่วงเวลาแห่งการ “คืนความสุข” ใหม่ๆ ก็เคยมี “ข่าวลือ” ถึงแนวคิดเปลี่ยนชื่อปั๊มปตท. เป็นปั๊มทหารหรือสามทหารมาแล้ว แต่สักพักก็เงียบหายไป

ในหนังสือ “20ปี พลังไทยเพื่อไทย” โดย ปตท.เล่าย้อนอดีตไปในสมัยรัชกาลที่ 5 ว่าเป็นยุคที่เริ่มมีถนน ไฟฟ้า รถราง โดยยุคนั้นเริ่มมีการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศ กระทั่งผ่านมาเรื่อยๆ บริษัทน้ำมันต่างชาติได้นำน้ำมันต่างๆ มาจำหน่าย

พ.ศ.2476 “กระทรวงกลาโหม” ตั้งแผนกเชื้อเพลิงขึ้นมาเพื่อจัดหาน้ำมันเบนซิน น้ำมันก๊าดและน้ำมันหล่อลื่น ต่อมาเปลี่ยนเป็นกรมเชื้อเพลิง และก่อสร้างคลังเก็บน้ำมันที่ช่องนนทรีเพื่อแก้ปัญหาน้ำมันขาดแคลนช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

ด้วยเหตุนี้ทำให้บริษัทน้ำมันต่างชาติหยุดค้าน้ำมันในไทย แต่หลังยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 มีการยุบกรมเชื้อเพลิงและขายกิจการและทรัพย์สินทั้งหมดให้กับบริษัทน้ำมันต่างชาติ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของประเทศผู้ชนะสงคราม และไทยต้องให้บริษัทต่างชาติเข้ามาจำหน่ายน้ำมันทั้งหมด

กระทั่งปี 2500 จอมพลสฤษดิ์ นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ยกเลิกข้อผูกพันที่ทำไวักับบริษัทต่างชาติเรื่องห้ามมิให้รัฐบาลจำหน่ายผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมแก่ประชาชน และตั้ง “องค์การเชื้อเพลิง” เป็นรัฐวิสาหกิจในวันที่ 27 ม.ค. 2503 โดยใช้สัญลักษณ์ตรา “สามทหาร” เพื่อดำเนินสถานีบริการน้ำมัน จัดหาและกลั่นน้ำมัน

ในยุควิกฤตการณ์น้ำมันโลกครั้งที่ 1 น้ำมันราคาแพงมากและขาดแคลนทั่วโลก ไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักเพราะไม่มีแหล่งปิโตรเลียมเป็นของตนเอง จึงเริ่มมองหาแหล่งพลังงานปิโตรเลียมในประเทศ กระทั่ง พ.ศ.2520 มีการจัดตั้งองค์การก๊าซธรรมชาติแห่งประเทศไทย (อกธ.) ขึ้นเพื่อพัฒนาก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย

และในปี 2521 พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ นายกรัฐมนตรี มีการตรา พ.ร.บ.การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เป็นองค์กรของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการปิโตรเลียมของไทยขึ้นโดยตรงเป็นครั้งแรก

เป็นเช่นนี้ ปั๊มน้ำมันที่ใช้ตราสามทหารจึงค่อยๆ เลือนหายไป คนไทยจึงคุ้นชินกับตรา ปตท. แทน

ขอย้อนกลับมาที่จดหมายของ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร อีกนิด ท่านทิ้งท้ายว่า

เพื่อนของผมบอกผมว่า ถึงผมจะอ้อนวอนอย่างไรก็คงไม่สำเร็จ เพราะในสภานิติบัญญัติแห่งชาติชุดปัจจุบันมีทหารอยู่มากกว่าครึ่ง ทหารก็คงจะลงมติตามที่กลุ่มทหารเสนอมา  ผมตอบเขาไปว่าทหารทุกคนรักชาติไม่แพ้พวกเรา หากไม่มีใครชี้แจงให้เขาเห็นข้อดีข้อเสีย เขาก็จะลงมติตามที่บอกต่อกันมา แต่ถ้าเราชี้แจงให้เขาเห็นอย่างชัดเจนถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นต่อประเทศชาติ เขาก็จะคิดได้และเขาก็มีความเป็นตัวเองที่จะรักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ

ผมจึงขอวิงวอนมายังท่านสมาชิกสภานิติบัญญัติทุกท่านได้โปรดได้ดุลยพินิจในการรักษาผลประโยชน์ของชาติด้วยเถิด ผมอยากเห็นประเทศก้าวไปข้างหน้า ไม่ใช่ถอยหลังกลับไปเหมือน 50 ปี ก่อน

ต้องมาลุ้นกันว่า ผลงานของสนช. ชุดนี้ จะเป็นอย่างไร?! “สามทหาร” จะคัมแบ็กครือไม่ น่าติดตามยิ่งนัก